วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติปัตตานี (โดย ยาเซร มะเกะ)


ประวัติศาสตร์อาณาจักรลังกาสุกะ (นครปัตตานี)
ผู้คนและบ้านเมืองในยุคแรกของแหลมไทยมลายู :
ผู้คนในยุคแรกของแหลมไทย-มลายู กล่าวกันว่า เกิดขึ้นจากการผสมผสานชาติพันธุ์ระหว่างมนุษย์สมัยยุคหิน ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ ๓ กลุ่มด้วยกัน คือ
๑. พวกมองโกลอยด์ (Mongoloid) กลุ่มนี้อาจจำแนกออกเป็น มอญ พม่า ไทย เขมร เวียดนาม ฉาน และลาว
๒. พวกนิกริโต (Nigrito) พวกนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ตามป่าเทือกเขาบรรทัดสันกาลาคีรี ตลอดไปถึงเขตแดนมาเลเซีย ได้แก่ พวกเซมัง ซาไก และเผ่าคนในหมู่เกาะนิวกินี เช่น พวกปาปวน เป็นต้น
๓. พวกออสตราลอยด์ (Australoid) มนุษย์กลุ่มนี้แยกออกเป็นกลุ่มย่อยได้หลายกลุ่ม ได้แก่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเกาะสุมาตรา ชวา บาหลี ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
ดังจะเห็นได้จากเครื่องมือเครื่องใช้ของคนในยุคนี้ทิ้งไว้ให้ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ เช่น ขวานหิน หรือขวานฟ้า (บาตูลิตา) ซึ่งมีทั้ง รูปแบบใบขวาน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และแบบขวานชนิดมีบ่าที่พบอยู่ทั่วไปในแหลมอินโดจีน ตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศจีน เรื่อยลงมา ถึงบ้านเก่า ในจังหวัดกาญจนบุรี ไปตลอดปลายแหลมมลายูโดยเฉพาะที่จังหวัดปัตตานี พบขวานหินทั้ง ๒ ชนิด ที่บ้านป่าบอน อำเภอโคกโพธิ์ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันถึงการเคยอยู่ร่วมกันของผู้คนเหล่านั้นในดินแดนนี้
สำหรับผู้คนในตระกูลไทยและมาเลย์นั้น ดร.ปอลเบนดิต (Dr.Poul Benediet) ชาวอเมริกัน และ มร.อีริคไซเดนฟาเดน (Mr.Erick Seidenfaden) ชาวเดนมาร์คกล่าวว่า สืบสายเลือดมาจากชาติพันธุ์เดียวกัน ซึ่งตรงกับผล ของการศึกษาค้นคว้า ของพระยา สมันตรัฐบุรินทร์ (ตุ๋ย บินอับดุลล่าห์ ภายหลังใช้นามสกุลพระราชทานว่า สมันตรัฐ) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าได้รวบรวมหนังสือมลายูเก่าๆ มากเล่มด้วยกัน ได้ความว่า เมื่อ พ.ศ.๗๓๔ แหลมมลายูนี้ยังไม่ได้เป็นบ้านเมือง คนที่มีอยู่บนแหลมนี้มี ๔ จำพวก คือ
จำพวกที่ ๑ เรียกว่า "กาฮาซี" จำพวกนี้มีผิวเนื้อดำ ดวงตาโปนขาว ผมหยิก ร่างกายสูง ใบหน้าบาน ฟันแหลม ชอบกินเนื้อสัตว์ และเนื้อคน มีนิสัยดุร้าย ซึ่งคนไทยเรียกว่า "ยักษ์"
จำพวกที่ ๒ เรียกว่า "ซาไก" ผมหยิกดำ ตาโปนขาว ริมฝีปากหนา จำพวกนี้ไม่ดุร้าย อยู่ชุมนุมกันเป็นหมู่ ทำเพิงเป็นที่อาศัย
จำพวกที่ ๓ เรียกว่า "เซียมัง" คล้ายกับพวกซาไก แต่พวกนี้ชอบอยู่บนภูเขาสูงๆ
จำพวกที่ ๔ เรียกว่า "โอรังลาโวค" (ชาวน้ำ) อาศัยตามเกาะและชายทะเล มีเรือเป็นพาหนะ เที่ยวเร่ร่อนไม่อยู่เป็นที่
พวกชาวมลายูนี้ ได้ตรวจดูตามพงศาวดาร และประวัติศาสตร์ในภาษามลายูต่างๆ หลายเล่ม ก็ไม่ได้ความชัดเจนว่ามลายูเดี๋ยวนี้ สืบมาแต่ชาติใดแน่ เป็นแต่ความสันนิษฐานของผู้เขียนประวัติเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี สรุปความว่า ชาติมลายูนี้มาจาก โอรังลาโวค คือชาวน้ำเป็นแน่นอน ผสมกับพวกต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว ชาวน้ำตามประวัติศาสตร์แหลมมลายูกล่าวว่า มาจากแหลมอินโดจีน แต่ความสันนิษฐานของข้าพเจ้าเท่าที่ได้ตรวจหลักฐานต่างๆ มาแล้ว ชาวมลายูนี้มาจากชาวน้ำผสมกับชาติไทย ทางเมืองละโค (นครศรีธรรมราช) ชุมพร ไชยา ก่อนชาติอื่นๆ แล้วยังมีชาติยะวา (ชวา) มาภายหลังจึงได้มีชาติอื่นๆ มาผสมด้วย
หนังสือสยาเราะห์มลายูว่า ชาติไทยได้มาเป็นเจ้าเมืองปาหัง และมาตั้งเมืองปัตตานีขึ้น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ชาติมลายูนี้ มีโลหิตไทย อยู่มากกว่าชาติอื่น (ประวัติและเรื่องน่ารู้ของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ หน้า ๙๔)
ส่วนนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันชื่อ Robbins Borling กล่าวไว้ว่า "ไม่มีผู้คนกลุ่มใดในเอเซียอาคเนย์ ที่จะกล่าวได้ว่า เป็นเผ่าบริสุทธิ์ ที่มีบรรพบุรุษเฉพาะเผ่าพันธุ์ตนเอง" (หุบเขาและทุ่งราบ ของปราณี วงษ์เทศ หน้า ๘๐)
กล่าวโดยสรุป ผู้คนในภาคใต้มีเลือดผสมผสานระหว่างคนเชื้อชาติต่างๆ ที่ยังคงมีร่องรอยแสดงให้เห็นชัดเจนที่สุด จากผลของสงคราม และการติดต่อสัมพันธ์กันทางการค้า และสภาพการทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ ไทย จีน อินเดีย เขมร มอญ ชวา มลายู เซมัง และชาวน้ำ มาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ คนไทยนั้น ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รู้จักกันในนาม "โอรังเสียม" หรือชาวสยาม อันเป็นนามประเทศ และชื่อของคนที่เป็นเจ้าของประเทศมาก่อนที่รัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จะออกกฎหมาย รัฐนิยม มาบังคับใช้ชื่อประเทศไทยเป็นทางราชการสืบมาในปัจุบัน
คนเสียมเข้ามาสู่ไทย-มลายูนานเท่าไร ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่นอนชัดเจน จากการสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ อาทิเช่น อิบรอฮิม ซุกรี กล่าวว่า "ถึงแม้ว่าดินแดนแห่งนี้มีนามว่า ดินแดนมลายู แต่ก็มิได้หมายความว่าชาวมลายูเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาอาศัยอยู่ ณ ดินแดน แห่งนี้ เพราะชาวมลายูเป็นชาติหลังที่สุดที่เข้ามาอยู่อาศัย หลังจากชนชาติอื่นได้เข้ามาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้ มีชาวฮินดู เดินทาง มาจาก อินเดีย และมีชาวสยามซึ่งตั้งภูมิลำเนาอยู่เดิม ได้เข้ามามีอำนาจเหนือดินแดนสยาม จนกระทั่งช่วงสุดท้าย ชาวมลายูได้เข้ามาอาศัย" (กรียาอันมลายูปัตตานี ของอิบรอฮิม ซุกรี )
ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ว่า "เจ้าประเทศราชมลายูนั้น ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ชาวมลายูมีบ้านเมืองอยู่ที่เกาะสุมาตรา เช่นที่เมืองแจมบี (Jambi) และเมืองมานังกาเบา รัฐหรืออาณาจักรมลายูยังไม่ขึ้นมาตั้งรกรากอยู่ปลายแหลมมลายู จนอีกร้อยปีต่อมา" (หนังสืออนุสรณ์ เรื่องราชวงศ์ศรีธรรมโศกราช ของ ขจร สุขพานิช) ศูนย์กลางของอาณาจักรแรกของมลายูก็คือรัฐมะละกา ราชาปรเมศวร เชื้อสายกษัตริย์ แห่งราชอาณาจักรมัชฌปาหิต ในเกาะชวา เป็นผู้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๑๙๔๖
ในรัฐเกดาห์ (ไทรบุรี) คนเผ่าไทยพื้นเมืองดั้งเดิมถูกเรียกว่า "พวกซัมซัม" หรือ "สามสาม" ซึ่งเป็นคำที่เลือนมาจากคำ "เสียม-เซียม" หรือ สยาม ตำนานเมืองไทรบุรี-ปัตตานี ตอนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อราชามารงมหาวังสา พร้อมด้วยอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ขึ้นฝั่ง เพื่อสำรวจ ภูมิประเทศ บนเกาะสรี พบว่า "ชาวพื้นเมืองล้วนแต่เป็นพวก Gergasi หรือ อสูร" ราชามารงมหาวังสา เป็นคนอินเดีย จึงมองเห็นคนพื้นเมือง ที่ด้อยความเจริญกว่า ว่าเป็นพวกยักษ์พวกมาร ดังที่เคยมองชาวศรีลังกามาแล้วในอดีต และอีกตอนหนึ่งว่า
"บรรดาเหล่าอสูร มีพระเจะเสียม และนางสุตามัน เป็นหัวหน้า" พระเจะเสียมผู้นี้ เป็นบุตรชาวพื้นเมือง..." (หนังสือตำนานเมืองไทรบุรี-ปัตตานี ของ หลวงคุรุนิติพิศาล) จากข้อความในตำนานเมืองไทรบุรี-ปัตตานี แสดงให้เห็นว่า คนเสียมได้มาอาศัยอยู่ในแหลมมลายูมาช้านาน ทั้งจำนวนผู้คน และความเจริญ ก็คงจะเหนือกว่าชนเผ่าอื่นๆ จึงได้รับการบกย่องให้เป็นผู้นำของชุมชนซึ่งอยู่ร่วมกันหลากหลายเผ่าพันธุ์ ผู้คนเหล่านั้น ได้ประสมประสาน สืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ จนเกิดลักษณะทางกายภาพดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ต่อมา ผู้คนเหล่านี้ได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นชุมชนขึ้นทำการปกครองกันเอง โดยมีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้นำ ราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ และได้มีการติดต่อ รับวัฒนธรรม จากชนชาติอินเดียที่เดินทางเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า จึงเกิดการพัฒนาชุมชน ขึ้นเป็นบ้านเมือง และแคว้นน้อยใหญ่ขึ้นมา บ้านเมืองยุคแรกที่ตั้งอยู่บนแหลมไทย-มลายู ที่ปรากฏชื่ออยู่ในจดหมายเหตุของชาวจีน ได้แก่ เมืองตันซุน ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือบริเวณท้องที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า เมืองนี้มี "พวกฮู (ชาวอินเดีย) มาอาศัยอยู่ถึง ๕๐๐ ครอบครัว และมีพวกพราหมณ์อีก ๑,๐๐๐ คน" ถัดมาก็เป็นเมืองฉีตู หรือเซียะโท้ว จดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์สุย บันทึกเรื่องราวของเมืองนี้ว่า "ฉีตู (หรือ เซียะโท้ว) เป็นประเทศที่มีชาวเมืองเป็นเชื้อชาติเดียวกับประเทศฟูนัน อยู่ทางทะเลใต้ ไปเรือ ร้อยกว่าวันถึง พื้นดินเมืองหลวงเกือบเป็นสีแดง ประเทศฉีตู มีเนื้อที่กว้างหลายพันลี้ พระเจ้าแผ่นดินมีนามโดยแซ่ว่า คุยถ่าน และมีพระนามโดยรัชกาลว่า หลีต่อซัก ประชาชนนับถือพระพุทธเจ้า แต่ก็นับถือพราหมณ์มาก เมืองหลวงชื่อสิงหปุระ ในปี พ.ศ.๑๑๕๐ จีนได้ส่งราชฑูตฉังจุนและหวังจุงเซงมาเยี่ยมเยียน ต่อมาปี พ.ศ.๑๑๕๑-๑๑๕๒ และ ๑๑๕๓ กษัตริย์เมืองฉีตู ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการ ไปถวายจักรพรรดิ์จีนเป็นการตอบแทน ที่ตั้วเมืองฉีตู สันนิษฐานกันว่าอยู่ที่รัฐไทรบุรีหรือจังหวัดสงขลา และบ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังหาข้อยุติมิได้
เมืองตัน-ตัน (หรือ ตาน-ตาน) อีกเมืองหนึ่ง ศาสตราจารย์เซเดส์ ว่าตั้งอยู่ที่จังหวัดพัทลุง ปรากฏหลักฐานอยู่ในเอกสารชาวจีนว่าในปี พ.ศ.๑๑๑๓ ได้ส่งฑูตและเครื่องบรรณาการ ประกอบด้วย พระพุทธรูปแกะด้วยงาช้าง ๒ องค์ สถูป ๒ องค์ ไข่มุกอย่างดี ผ้าฝ้าย ยา และน้ำหอมต่างๆ ไปเจริญพระราชไมตรีกับประเทศจีน
เมืองตัมมาหลิง ซึ่งนักโบราณคดีเชื่อกันว่าเป็นเมืองเดียวกับเมืองตามพรลึงค์ ที่ปรากฏชื่ออยู่ในศิลาจารึกที่ค้นพบจากวัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ชาวจีนชื่อ เจาจูกัว ได้บันทึกถึงเรื่องราวของเมืองนี้ไว้ว่า "เมืองนี้มีกำแพงไม้กว้าง ๖ หรือ ๗ ฟุต ล้อมรอบ ซึ่งภายในกำแพงนี้อาจใช้เป็นลานสำหรับต่อสู้ได้ด้วย บ้านเรือนของข้าราชการสร้างด้วยไม้กระดาน บ้านของสามัญชนสร้างด้วยไม้ไผ่ มีใบไม้เป็นฝากั้นห้องและมัดด้วยหวาย (เรือนผูก) ผลิตผลพื้นเมืองมีขี้ผึ้ง ไม้จันทร์ ไม้มะเกลือ การบูร งาช้าง นอแรด"
จากเมืองลังกาสุกะมาเป็นเมืองปัตตานี :
จดหมายเหตุจีน สมัยราชวงศ์เหลียง ชื่อเหลียงชู ได้บันทึกเรื่องราวอันน่าสนใจของเมืองนี้ไว้ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ความว่า "รัฐลัง-ยา-สิ่ว ตั้งขึ้นเมื่อศตวรรษที่ ๗ อยู่ในบริเวณทะเลใต้ ห่างจากเมืองท่ากวางตุ้ง ๒๔,๐๐๐ ลี้ อาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับประเทศผัน-ผัน หรือ พาน-พาน ประเทศนี้มีความกว้างยาว วัดด้วยการเดินเท้าจากทิศใต้ไปจรดทิศเหนือ ใช้เวลาเดินทางกว่า ๒๐ วัน และหากเดิน จากทิศ ตะวันออก ไปถึงตะวันตกก็จะใช้เวลา ๓๐ วัน
ตัวเมืองลังกาสุกะ มีกำแพงล้อมรอบ มีประตู และหอคอยคู่ พระราชา มีพระนามว่า ภคทัต (ยอเจียต้าตัว) เวลาจะเสด็จไปที่แห่งใด จะทรงช้างเป็นพาหนะ มีฉัตรสีขาวกั้น มีขบวนแห่ประกอบด้วยกลอง และทิวนำหน้า แวดล้อมด้วยทหารที่มีหน้าตาดุร้าย คอยระแวดระวังพระองค์
ชาวเมืองนิยมไว้ผมยาว ผู้หญิงแต่งกายด้วยผ้าฝ้าย (Ki-Pei) มีเครื่องเพชรพลอยประดับตบแต่งกาย ผู้ชายมีผ้าพาดไหล่ทั้งสอง มีเชือกทอง คาดต่างเข็มขัด และสวมตุ้มหูทองรูปวงกลม
เมื่อปีที่สิบแห่งศักราชเถียนเจียน (ตรงกับปี พ.ศ.๑๐๕๘) กษัตริย์เมืองลังกาสุกะส่งราชฑูตชื่อ อชิตะ (อาเช่อตัว) ไปเฝ้าจักรพรรดิ์จีน ทางจีน ให้ช่างเขียน เขียนภาพราชฑูตไว้เป็นที่ระลึก คุณสังข์ พัธโนทัย ได้ให้คำบรรยายภาพว่า
" เป็นคนหัวหยิกหยองน่ากลัว นุ่งผ้าโจงกระเบน ห่มสไบเฉียง สวมกำไลที่ข้อเท้าทั้งสอง ผิวค่อนข้างดำ"( เมืองโบราณ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ ประจำเดือน ธันวาคม ๒๕๒๑ - มกราคม ๒๕๒๒)ข้อความนี้ไปพ้องกับคำพังเพยของชาวปักษ์ใต้บทหนึ่งที่กล่าวว่า "ผมหยิก หน้าก้อ คอปล้อง น่องทู่" ซึ่งถือกันว่าเป็นลักษณะของผู้ชายที่ไม่น่าไว้วางใจนักสำหรับท่านหญิง รูปลักษณะของฑูตลังกาสุกะนี้ เราจะพบเห็น ได้จาก ชาวชนบท ในภูมิภาคทักษิณของประเทศไทยได้ทั่วๆ ไป
หนังสือ เป่ยซู และสุยซู ของจีน ชี้ที่ตั้งของเมืองลังกาสุกะไว้ในแวดวงที่กว้างขวางพอสมควร เช่นเดียวกับหนังสือ The Golden Khersonese ของศาสตราจารย์ปอล วิตลีย์ และหนังสือ Negara Kertagama ของพระปัญจ นักบวชในนิกายศิวะพุทธ แห่งราชอาณาจักรมัชฌปาหิต ว่าอยู่ในแคว้นปัตตานี ในอดีต (ซึ่งครอบคลุมไปถึงพื้นที่ของรัฐตรังกานู และรัฐกลันตัน)
หนังสือพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต (ฟอนฟลีต) ชาวฮอลันดา ซึ่งเคยมาตรวจกิจการค้าของบริษัทดัชอิสต์อินเดีย ที่ตั้งอยู่ในเมือง ปัตตานี และได้เข้าเฝ้าเจรจาปัญหาบ้านเมืองกับเจ้าหญิงอูงูรานีแห่งเมืองปัตตานี เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.๒๑๘๕ ระบุที่ตั้ง เมืองลังกาสุกะ ว่าอยู่ห่างจากเมืองปัตตานีสมัยนั้น (บ้านกรือเซะ อำเภอเมืองปัตตานี) ไปทางตอนเหนือของลำน้ำปัตตานี คือบริเวณ เมืองโบราณ ที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
ม้าฮวน ชาวจีนผู้มีประสบการณ์จาการเดินทางไปกับกองเรือรบของ นายพลเซ็งโห ผู้รับสนอง พระบรมราช โองการ จากพระเจ้า จักรพรรดิ์ ราชวงศ์หงวน ให้นำคณะฑูตออกไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร กองเรือของนายพลเซ็งโห ออกเดินทางจากจีน ตระเวนไปตามเมืองต่างๆ จนถึงอ่าวเปอร์เซีย และชายฝั่งอาฟริกาตะวันออก ผ่านอ่าวไทยถึง ๗ ครั้ง เคยแวะเยี่ยม ราชอาณาจักร สยาม ๒ ครั้ง ในปี พ.ศ.๑๙๕๐ เพื่อทำการไกล่เกลี่ยกรณีที่ปรเมศวร เจ้าเมืองมะละกา ร้องเรียนต่อพระเจ้าจักรพรรดิ์จีน กล่าวหาว่า ไทยยกกองทัพไปรุกรานเมืองมะละกา เหตุเพราะมะละกาทำการแข็งเมือง ไม่ยอมสงเครื่องราชบรรณาการ ในบันทึก ของม้าฮวน ได้กล่าวถึงเมืองลังกาสุกะว่า รัฐนี้ตั้งอยู่บนแหลมมลายูตรงเส้นรุ้งที่ ๖ .๕๔"- เหนือ
หนังสืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๔ (ภาคผนวก) ก็ว่า จังหวัดปัตตานีตั้งอยู่ตรงเส้นละติจูด ๐๖-๕๑'-๓๐" เหนือ เช่นเดียวกับที่ม้าฮวนได้บันทึกไว้
หวัง-ต้า-หยวน เขียนไว้ในหนังสือ เต๋า-อี-ชีห์-ยูเลห์ ว่า ชาวเมืองลังยาเสี่ยว "ทั้งชายหญิงไว้ผมมวย ใช้ผ้าฝ้ายนุ่งห่ม และรู้จักการ ต้มน้ำทะเล เพื่อให้ได้เกลือมาใช้"
การทำนาเกลือ เพื่อใช้บริโภค และจำหน่ายในจังหวัดภาคใต้ มีอยู่ที่เมืองปัตตานี ทำเป็นสินค้าจำหน่ายมาแต่ต้นสมัยอยุธยาแล้ว ประวัติเมือง ปัตตานี ได้กล่าวถึงการทำนาเกลือไว้ชัดเจนในสมัยนางพญาฮียาและนางพญาบีรูปกครองเมืองปัตตานี แต่ไม่ปรากฏว่า เมืองใกล้เคียง ทำนาเกลือเป็น ทั้งที่บ้านเมืองเหล่านั้นก็อยู่ใกล้ทะเล มีสภาพที่ดินคล้ายคลึงกัน พอที่จะใช้ในการทำนาเกลือได้ ดังปรากฏ หลักฐาน ในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ความตอนหนึ่ง เมื่อพระเจ้าอู่ทองตรัสถามพญาศรีธรรมโศกราชว่า "เมืองของท่านขัดสิ่งใดเล่า แลพญาศรีธรรมโศกราชว่า ขัดแต่เกลือ อาณาประชาราษฎร์ไม่รู้จักทำกิน และพระเจ้าอู่ทองว่า จงให้สำเภาเข้ามาจะจัดให้ออกไป"
การที่พงศาวดารจีนบันทึกไว้ว่า ชาวเมืองหลังยะเสี่ยว (หรือลังกาสุกะ) รู้จักการทำนาเกลือใช้ และไม่มีหัวเมืองใด ในภาคใต้ รู้จักการทำนาเกลือ นอกจากชาวเมืองปัตตานีเท่านั้น ย่อมเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า เมืองปัตตานีน่าจะเป็นที่ตั้งเมืองลังกาสุกะได้
ปัจจุบัน การทำนาเกลือ ของชาวเมืองปัตตานี ก็ยังคงได้รับการสืบทอด เป็นอาชีพของชาวบ้านตำบลตันหยงลุโละ ท้องที่อำเภอเมืองปัตตานี
เมืองลังกาสุกะและเมืองตามพรลึงค์ หรือเมืองนครศรีธรรมราช เป็นบ้านเมืองในยุคเดียวกัน เมืองทั้งสองเคยมีความเจริญรุ่งเรือง และประสบ ภัยพิบัติ จากสงคราม จนต้องตกเป็นเมืองขึ้น ของอาณาจักรศรีวิชัย และของพระเจ้าราเชนทร์ แห่งโจฬะประเทศมาแล้วด้วยกัน เมืองทั้งสอง จึงมีวัฒนธรรม ร่วมกัน หลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งในด้านศาสนา ความเชื่อ โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนา ก่อนที่ จะรับ ลัทธิ ลังกาวงศ์ เมืองนครศรีธรรมราชมีพระเจดีย์ที่มีรูปลักษณะและนามใช้เรียกขานเช่นเดียวกัน ดังปรากฏ หลักฐาน อยู่ในตำนาน พระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ตอนหนึ่งว่า "พระยาศรีธรรมโศกราช ดำริในพระทัยว่า ตัวเรานี้ได้สร้างพระเจดีย์วิหาร และก่อพระพุทธรูป ปลูกไม้พระศรีมหาโพธิ์ และได้ยกพระมาลิกะเจดีย์ที่เมืองอินทปัต และทำประตู ๒ ประตู จ้างคนทำวันละพันตำลึงทอง และพระบรรทม องค์หนึ่ง ทำด้วยสัมฤทธิ์ยาว ๔ เส้น พระเจดีย์สูงสุดหมอก อิฐยาว ๕ วา หนาวา ๑ พระระเบียงสูง ๑๕ วา ระเบียงสูงเส้น ๑ หน้าเสา ๙ ศอก แปย่อมหิน พระนั่งย่อมสัมฤทธิ์ สูงองค์ละ ๑๕ วา ตะกั่วดาด ท้องพระระเบียงหนา ๖ นิ้ว บนปรางกว้าง ๒ เส้น แม่กะไดเหล็กใหญ่ ๔ กำ ลูก ๓ กำ ขึ้นถึงปรางบน หงษ์ทอง ๔ ตัว ย่อมทองเนื้อ แล้วมาทำมาลิกะเจดีย์ ปลูกพระศรีมหาโพธิ์ และจำเริญ พระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช"
คำ "พระมาลิกะเจดีย์" ของเมืองนครศรีธรรมราชนี้ เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของเมืองปัตตานีในอดีตคือ เมืองโกตามหลิฆัย (โกตา = เมือง หรือ ป้อมปราการ มลิฆัย (maligei) = เจดีย์หรือปราสาทราชวัง) เป็นคำยกย่อง สรรเสริญ บ้านเมือง สมัยนั้นว่า เจริญรุ่งเรือง ด้วยศิลปะ สถาปัตยกรรม ทางการสร้างสรรค์พระมหาเจดีย์ และปราสาทราชวัง ดุจดังที่ศรีปราชญ์ กล่าวไว้ในโคลง ที่ท่านเขียนขึ้น เพื่อเชิดชูเกียรติ กรุงศรีอยุธยาว่า
อยุธยายศยิ่งฟ้า ลงดิน แลฤา 
อำนาจบุญเพรงพระ ก่อเกื้อ 
เจดีย์ละอออินทร์ ปราสาท 
ในทาบทองแล้วเนื้อ นอกโสม
คำ มลิกะ นั้น ทางปัตตานีเรียก Maligai (มะลิไฆ) เป็นภาษาทมิฬ เข้าใจว่าปัตตานีสมัยลังกาสุกะรับมาจากอินเดียใต้ สมัยที่ พระเจ้าราเชนทร์ เข้ามายึดครองเมืองลังกาสุกะและเมืองตามพรลึงค์ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ทางเชิงช่างศิลปไทย เรียกเจดีย์มะลิกะ หรือเจดีย์มะลิไฆ ว่า ทรง ฉัตราวาลี พระเจดีย์แบบนี้ นอกจากจะมีการสร้างขึ้นที่เมืองลังกาสุกะและเมืองตามพรลึงค์ (นครศรีธรรมราช) แล้ว ปรากฏว่ายังมีอยู่ที่เกาะสุมาตราตอนกลางที่มัวราตากุสอีกด้วย ซึ่งต่างก็รับอิทธิพลมาจากรูปแบบการช่างของอินเดียใต้
พระมาลิกะเจดีย์ของเมืองนครศรีธรรมราช มีผู้สันนิษฐานว่า เมื่อพระเจ้าศรีธรรมโศกราช รับเอา พระพุทธศาสนา แบบลังกาวงศ์ ในราว พุทธศตวรรษ ที่ ๑๗-๑๘ ก็ได้สร้างพระมหาธาตุเจดีย์องค์ปัจจุบันครอบคลุมมาลิกะเจดีย์องค์เดิมไว้ (สาสน์สมเด็จ ฉบับวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๘)
ที่เมืองลังกาสุกะ (อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี) ปัจจุบันยังคงร่องรอยรากฐานเจดีย์น้อยใหญ่หลายองค์ ในท้องที่ตำบลยะรัง ตำบลวัด และพบเจดีย์ดินเผาจำลอง (แบบมาลิกะเจดีย์) ในบริเวณเมืองโบราณแห่งนี้อีกเป็นจำนวนมาก
จากการสำรวจแหล่งชุมชนโบราณในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ บ้านโคกอิฐ ตำบลพะร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส บริเวณ สนามบิน และวัดคูหาภิมุข จังหวัดยะลา บ้านป่าบอน อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ซึ่งตำนานเมืองไทรบุรี-ปัตตานี ระบุว่า เคยเป็นที่ตั้ง เมืองปัตตานี มาครั้งหนึ่ง แหล่งชุมชนดังกล่าวปรากฏว่า มีซากโบราณวัตถุสถานน้อยกว่าบริเวณชุมชนในท้องที่อำเภอยะรัง โดยเฉพาะ ในเขต ท้องที่ตำบลยะรัง ตำบลวัด ตำบลปิตุมุดี และใกล้เคียงในพื้นที่ ๕ ตารางกิโลเมตร มีโบราณวัตถุ สถาน อันมี คุณค่า ทาง ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีที่พบแล้ว ดังนี้
โบราณสถาน ได้แก่ ฐานเจดีย์และเนินดิน ประกอบด้วยอิฐที่มีลักษณะแบบอิฐสมัยทวารวดี ศรีวิชัย สลักหักพัง กระจายอยู่ ในท้องที่ บ้านประแว บ้านใหม่ บ้านวัด บ้านปิตุมุดี มากกว่า ๓๐ เนิน เฉพาะบริเวณเนินดินขนาดใหญ่ที่บ้านวัด พบธรณีประตู ธรณีหน้าต่าง ทำด้วยศิลาสีขาว ๑๐ กว่าชิ้น สันนิษฐานว่า เนินดินแห่งนี้คงเป็นที่ตั้งโบราณสถานที่สำคัญของเมือง และเนินดิน ที่ตั้งอยู่ ด้านตรงกันข้าม พระภิกษุวัดสุขาวดีเคยทำการขุดมาแล้ว ปรากฏว่าเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ พบผนังอิฐ ก่อลึกลงไป ใต้พื้นดิน ประมาณ ๒ เมตร ปัจจุบันเจ้าของที่ดินได้กลบหลุมที่ขุดทิ้งไว้ ปลูกต้นเงาะขึ้นปกคลุมหมดแล้ว คงเห็นแต่ ฐานเจดีย์ ปรากฏอยู่ ฐานพระเจดีย์องค์นี้ หากได้มีการขุดแต่งดินใหม่แล้ว คงจะได้ทราบ รูปแบบ องค์พระเจดีย์ ว่าอยู่ใน ลักษณะ รูปแบบ เจดีย์โบราณ สมัยใด อันจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาตีความด้านอายุของเมืองโบราณแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง
โบราณวัตถุ พบพระพุทธรูปศิลาสมัยทวารวดีประทับยืน ปางประทานพร ๑ องค์ และปางอาหูยมุทรา (ปางกวักพระหัตถ์) อีก ๑ องค์ สูงขนาด ๖๐ เซนติเมตร ชาวบ้านพบที่บริเวณทุ่งนาบ้านกำปงบารู ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่วัดป่าศรี อำเภอยะหริ่ง และ วัดตานีนรสโมสร วัดละ ๑ องค์
พระพุทธรูปนูนต่ำ แกะในแผ่นศิลาแดงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด ๖ นิ้ว เป็นรูปพระโพธิสัตว์ อมิตาภะ พุทธเจ้า พบอยู่ในซาก องค์พระเจดีย์ ที่บ้านกำปงบารู ตำบลยะรัง
ธรรมจักรศิลา สูง ๑๓ เซนติเมตร วงล้อกว้าง ๒๖ เซนติเมตร มีกงล้อ ๘ อัน ไม่มีลวดลายแกะสลักประดับตกแต่งวงล้อ ปัจจุบัน เก็บรักษาอยู่ที่วัดตานีนรสโมสร อำเภอเมืองปัตตานี
กุฑุ หรือ ซุ้มเรือนแก้ว ทำด้วยปูนปั้นผสมกรวดทราย มีลวดลายดอกไม้แบบศิลปอมรวดี คล้ายรูปจำหลักศิลาที่นาคารซุนกอนดา ประเทศอินเดีย และชิ้นส่วนปูนปั้นซึ่งเป็นส่วนประกอบสถาปัตยกรรม แต่ละชิ้นมีความกว้าง-ยาว ขนาดแผ่นอิฐ มีลวดลาย บัวคว่ำ และลายหน้ากระดาน ศิลปะสมัยคุปตะเป็นจำนวนมาก สันนิษฐานว่า เป็นส่วนประกอบ ของสถูป ที่ถูกทำลาย หรือปรักหักพังลง เพราะความเสื่อมสภาพของวัตถุ ที่ถูกฝนและอากาศชื้นกัดกร่อนมานานปี ชิ้นส่วนปูนปั้นเหล่านี้ พบในสวน ทุเรียนใกล้บ้านปอชัน ตำบลปิตุมุดี ปัจจุบันมอบให้ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดสงขลาเก็บรักษาไว้
สถูปดินเผาจำลอง พบเป็นจำนวนมากอยู่ในซากองค์พระเจดีย์ ที่บ้านกำปงบารู ตำบลยะรัง มีหลายขนาดหลายรูปแบบ อาทิ ทรงฉัตรวาลี ที่ปัตตานีและชวาเรียกแบบอย่างชาวทมิฬว่า จันฑิมะลิฆัย หรือมะลิกะเจดีย์ ตามตำนาน พระธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช และทรงกมลมีลวดลายหน้ากระดานโดยรอบองค์สถูป น. ณ ปากน้ำ นักประวัติศาสตร์ ศิลปะ ของเมืองไทย กล่าวว่า "เป็นสถูปเก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบมาในเอเซียอาคเนย์ เหมือนสถูปแบบคุปตะที่กุสินาราและที่สารนาถ" (วารสารเมืองโบราณ ธันวาคม ๒๕๒๑ เรื่อง ศิลปะแบบทวารวดีที่ปัตตานี)
ศิวลึงค์ รูปสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ มีลักษณะใกล้เคียงองคชาติมาก ส่วนยอดเป็นรูปกลมเหมือนของจริง เรียกว่า "รุทธภาค" ท่อนกลางเป็นรูปเหลี่ยม ๘ เหลี่ยม เรียกว่า "วิษณุภาค" ฐานล่างทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เรียกว่า "พรหมภาค" สูง ๔๔ เซนติเมตร พบที่กูโบ หรือสุสานบ้านยะรัง ชาวบ้านนำไปใช้แทน "แนแซ" หรือ หินเครื่องหมายเหนือหลุมศพตามประเพณีของชาวมุสลิม องค์ที่ ๒ วิทยาลัยครูยะลาเป็นผู้นำไปเก็บรักษาไว้ องค์ที่ ๓ มีขนาดย่อมกว่า พบที่บ้านป่าศรี พระภิกษุวัดป่าศรี มอบให้เอกชน ไม่ทราบนาม และสถานที่อยู่ชัดเจน ทราบเพียงว่าเป็นชาวบ้านฝั่งธนบุรี
แม่พิมพ์ต่างหู ใช้สำหรับหลอมต่างหูด้วยโลหะ เช่น สำริด หรือตะกั่ว ทำด้วยศิลาสีดำ และศิลาสีแดง รวม ๒ พิมพ์ เป็นรูป สี่เหลี่ยม จัตุรัสขนาด ๑๒ x ๒ เซนติเมตร แม่พิมพ์สีแดงพบภายในกำแพงเมืองโบราณบ้านประแว ตำบลยะรัง ลักษณะ รูปแบบ ของแม่พิมพ์ คล้ายกับแม่พิมพ์ต่างหู ที่พบที่เมืองออกแก้ว ประเทศเวียดนาม เมืองโบราณที่อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองนครปฐม บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองโบราณจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบัน มอบให้ศูนย์ศึกษา เกี่ยวกับ ภาคใต้ เก็บรักษาไว้
โยนีโธรณ ทำด้วยศิลา สัญญลักษณ์แทนองค์พระอุมา เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๘๐ เซนติเมตร ยาว ๑ เมตรเศษ ที่กึ่งกลาง เจาะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาด ๖ x ๖ สำหรับวางองค์ศิวะลึงค์ และเซาะร่องรอยริมขอบแผ่นโยนีโธรณ พบในสวน ชาวบ้าน ตำบลวัด ขณะขุดหลุมปลูกแตงกวา ชาวบ้านเรียก "ตาเปาะฆาเยาะ" (รอยเท้าช้าง) ได้มอบให้ พิพิธภัณฑ์ สถานแห่งชาติ จังหวัดสงขลา นำไปเก็บรักษาไว้
แท่นหินบดยา รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีฐานสี่เหลี่ยมสูง ๑๓ เซนติเมตร กว้าง ๒๒ เซนติเมตร ยาว ๔๕ เซนติเมตร พบที่บ้านต้นทุเรียน ตำบลยะรัง ๒ แท่น และที่บ้านตามางัน ๑ แท่น ชาวบ้านเรียก "ลือชงยาวอ" (ครกชวา) ส่วนลูกกลิ้งหินบด พบเพียง ส่วนชำรุด รูปลักษณะ คล้ายหินบดที่พบตามเมืองโบราณในภาคกลางดังที่กล่าวมาแล้ว
พระสุริยเทพ ทำด้วยสำริดขนาด ๒๐.๓๐ x ๑๐.๓๐ เซนติเมตร ประทับยืนเหนือแท่นปทุมอาสน์ บนราชรถเทียมด้วยม้า ๗ ม้า มีพระอรุณเทพ ทำหน้าที่สารถี นั่งบังคับม้ามาด้านหน้า ด้านข้างประกอบเทพบริวาร ๔ องค์ คือ ทัณฑีเทพ ปิงคละเทพ และ เทพธิดา มีนามว่า ปรัตยุตาเทพีและอุษาเทพี นั่งมาในราชรถ พบที่บริเวณบ้านกูวิง ปัจจุบันตกไปเป็นสมบัติของเอกชน (พระสุริยะสำริด พบที่เมืองโบราณอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี โดยผาสุข อินทราวุธ วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร ฉบับภาคปลายปีการศึกษา ๒๕๒๙)
นอกจากนี้ยังพบเทวรูปนารายณ์ และชิ้นส่วนของนางตารา ทำด้วยสำริดที่ใกล้บริเวณบ้านเกาะหวาย ตำบลวัด ชาวบ้านเรียก พื้นที่ พบโบราณวัตถุนี้ว่า "วะสมิง" (วัดสามี) ปัจจุบันพระภิกษุรูปหนึ่งนำไปหล่อพระพุทธรูปแล้ว
โบราณวัตถุสถาน และเรื่องราวในจดหมายเหตุของชนชาติต่างๆ ที่กล่าวแล้ว แสดงว่า บริเวณเมืองโบราณ ในท้องที่ตำบลยะรัง ตำบลวัด ตำบลปิตุมุดี อำเภอยะรัง ในอดีตน่าจะเป็นศูนย์กลางของที่ตั้งเมืองลังกาสุกะ มิฉะนั้นคงจะไม่ปรากฏซากโบราณ และชิ้นส่วน โบราณวัตถุ ที่มีอายุไม่น้อยกว่าปีพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ขึ้นไป โดยเฉพาะซากโบราณสถานและโบราณวัตถุเนื่องในศาสนาพุทธ สาสนาพราหมณ์นั้น เมื่อชาวเมืองเปลี่ยนจากการนับถือศาสนาพุทธ มารับศาสนาอิสลามในระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๒ ถึงปี พ.ศ.๒๐๕๗ แล้วนั้น น่าจะถูกทำลาย หรือ นำไปจำหน่าย แลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่นๆ จนหมดสิ้น เฉพาะโบราณวัตถุจำพวกสำริด ซึ่งเป็นของมีค่าและหายากในท้องถิ่น จึงคงมีเหลือ อยู่น้อยมาก
เมืองโบราณบนแหลมมลายู ที่ปรากฏชื่ออยู่ในศิลาจารึกและจดหมายเหตุชาวจีน อินเดีย และชวา ได้แก่
จารึกเมืองตันโจ ของพระเจ้าราเชนทร์ ระหว่างปี พ.ศ.๑๕๗๓-๑๕๗๔ มีชื่อเมือง ที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออก ของแหลมมลายู ที่พระองค์ อ้างว่า ได้ส่งกองทัพเรือมายึดครองไว้ได้นานถึง ๒๐ ปี คือ เมืองไอลังคโสกะ (ลังกาสุกะ) เมืองตามพรลึงค์ (นครศรีธรรมราช)
หนังสือ จู-ฝาน-ชี ของเจาจูกัว ก็ได้เขียนเล่าเรื่องมืองขึ้นของอาณาจักรศรีวิชัยไว้ว่า ในปี พ.ศ.๑๗๖๘ ศรีวิชัยมีเมืองขึ้น ๑๕ เมือง เฉพาะที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแหลมมลายู ได้แก่ ปอง-ฟอง (ปาหัง) เต็งยานอง (ตรังกานู) หลังยาสิเกีย (ลังกาสุกะ) กิลันตัน (กลันตัน) ตันมาหลิง (นครศรีธรรมราช)
หนังสือ เนเกอราเกอรตาคามา ของพระปัญจา นักบวชในลัทธิศิวพุทธแห่งราชอาณาจักรมัชฌปาหิต แต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๙๐๘ ก็อ้างว่ากองทัพเรือของชวา สามารถเข้ายึดครองเมืองต่างๆ บนแหลมมลายูไว้ได้ คือ ปาหัง ตรังกานู กลันตัน และลังกาสุกะ ในปี พ.ศ.๑๘๓๕
จากเอกสารดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ไม่มีชื่อเมืองปัตตานีอยู่เลย ตามประวัติศาสตร์เมืองปัตตานี ฉบับของนายหะยีหวันอาซัน กล่าวว่า เมืองปัตตานี เพิ่งสร้างขึ้นในสมัยของพยาอินทิรา ระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๒ ถึงปี พ.ศ.๒๐๕๗ มีนามว่า "ปัตตานีดารัสสลาม" (นครแห่งสันติ)
คำ ปัตตานี นี้ เลือนมาจากคำในภาษาสันสกฤต คือ "ปตฺตน" แปลว่า "กรุง, ธานี, นคร, เมือง" ดังจะเห็นได้จากชื่อเมืองหนึ่งของอินเดียภาคใต้ ถิ่นฐานของโจฬะ ที่เคยมายึดครองเมืองลังกาสุกะ คือ เมือง "นาคปตฺตน"
สาเหตุที่พญาอินทิรา ย้ายเมืองโกตามหลิฆัยหรือลังกาสุกะ มาสร้างเมืองปัตตานีขึ้นใหม่ ณ บริเวณสันทราย ตำบลตันหยงลุโละ ตำบลบานา ท้องที่อำเภอเมืองปัตตานีในปัจจุบัน จะนำมากล่าวในตอนหลัง
ดังนั้น ชื่อของเมืองลังกาสุกะ จึงไม่ปรากฏในเอกสารของชนชาติต่างๆ ที่เดินทางเข้ามาค้าขายในแหลมมลายู หลังจากปี พ.ศ.๒๐๕๔ แต่ปรากฏ ชื่อเมืองปัตตานี หรือตานี ขึ้นมาแทนที่ ดังจะเห็นได้จากเอกสารของพวกพ่อค้าชาวโปรตุเกส ฮอลันดา และอังกฤษ แม่แต่เอกสาร ชาวจีน ระยะหลัง เช่น เรื่องอาณาจักรทางทะเลของปิงหนาน ก็ได้กล่าวถึงเมืองปัตตานีว่า
อาณาจักรต้าหนี "ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสงขลา การเดินทางจากสงขลาทางบกใช้เวลา ๕-๖ วัน ทางน้ำ โดยลมมรสุม ประมาณวันเศษก็ถึง ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาทอดเป็นแนวยาวติดต่อกัน อาณาเขตหลายร้อยลี้ จารีตประเพณี และทรัพยากร มีความคล้ายคลึง กับสงขลา ประชากรมีจำนวนน้อย แต่อุปนิสัยดุร้าย ภูเขาที่นี่มีทองคำมาก อาณาจักรนี้ขึ้นกับสยาม แต่ละปี ต้องถวาย เครื่องราชบรรณาการด้วยทองคำ ๓๐ ชั่ง"
เรื่องราวของราชฑูต กษัตริย์เมืองลังกาสุกะ ต่อจากรัชสมัยพระเจ้าภัคทัตต์ ปรากฏในจดหมายเหตุจีนต่อมาว่า ในปี พ.ศ.๑๐๖๖-๑๐๗๔ และ พ.ศ.๑๑๑๑ กษัตริย์ลังกาสุกะ ได้ส่งฑูตไปสู่ราชสำนักจีนอีก แต่จีนก็มิได้ให้รายละเอียดอย่างเช่นคราวราชฑูตอชิตะ
ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ รัฐลังกาสุกะก็เริ่มเสื่อมอำนาจลง จนกระทั่ง ตกไปเป็นเมืองขึ้น ของกษัตริย์กรุงศรีวิชัย และกษัตริย์โจฬะ แห่งอินเดียใต้ ดังปรากฏหลักฐานจารึกที่เมืองตันจอร์ ระหว่างปี พ.ศ.๑๕๗๓-๑๕๙๕ กล่าวว่า
"พระเจ้าราเชนทร์ส่งทัพเรือไปกลางทะเล และจับพระเจ้าสังกรมวิชยค์ตุงคะวรมันกษัตริย์ แห่งคะดะรัม (เกดาห์) และยึดได้ รัฐปันนาย ที่มีน้ำเต็มเปี่ยม ในอ่างเก็บน้ำ รัฐมลายูโบราณที่มีภูเขาเป็นป้อมปราการล้อมรอบ รัฐมะยิรูดิงคัม ซึ่งล้อมรอบ ไปด้วยทะเล จนดูประหนึ่ง เป็นคูเมือง รัฐไอลังคโสกะ (ลังกาสุกะ) ซึ่งเก่งกล้าในการรบ เมืองบัปปะปะลัม (ปาเล็มบัง) ที่มีน้ำลึกเป็นแนวป้องกัน เมืองเมวิลิมบันกัม ที่มีกำแพงเมือง สง่างาม เมืองวาไลยคุรุที่มีวิไลยพันคุรุ เมืองดาไลยตักโคลัมที่ได้รับการสรรเสริญจากคนสำคัญๆ ว่าเชี่ยวชาญ ทางวิทยาการ รัฐตามพรลึงค์ (นครศรีธรรมราช) ที่ใหญ่ยิ่งสามารถในการรบ เมืองอิลามุรีเดแอมที่ดุเดือดในการรบ เมืองนักกะวารัม ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีสวนใหญ่โต มีน้ำผึ้งมาก"
หลังจากตีเมืองเหล่านี้ได้แล้ว พระเจ้าราเชนทร์โจฬะ ได้ส่งกองทหารเข้ามายึดครองหัวเมืองในแหลมไทย-มลายูไว้เป็นเวลา ๒๐ ปี ต่อมารัฐศรีวิชัยผู้มีกำลังนาวิกภาพเข้มแข็งก็ได้มาผนวกเอารัฐลังกาสุกะเข้าไปไว้ในอำนาจของตน พร้อมด้วยรัฐต่างๆ อีก ๑๕ รัฐ ตามที่ชาวจีน ชื่อ เจาจูกัว เขียนเล่าไว้ในหนังสือชูผันจิ ดังต่อไปนี้ คือ
๑. รัฐ เป็ง-โพ็ง (ปอง-ฟอง หรือ ปาหัง?)
๒. รัฐ เต็ง-ยา-น็อง (ตรังกานู?)
๓. รัฐ ลิง-ยา-ลิงเกีย (ลังกาสุกะ)
๔. รัฐ กิ-ลัน-ตัน (กลันตัน)
๕. รัฐ โฟ-โล-ตัน
๖. รัฐ ยิ-โล-ติง
๗. รัฐ เซียม-มาย
๘. รัฐ ปะ-ตา
๙. รัฐ ตัม-มา-หลิง (นครศรีธรรมราช)
๑๐. รัฐ เกีย-โล-หิ (ครหิ-ไชยา)
๑๑. รัฐ ปา-ลิ-ฟอง (ปาเล็มปัง)
๑๒. รัฐ สิน-โค (สุนดาในเกาะชวา)
๑๓. รัฐ เกียน-ปาย
๑๔. รัฐ ลัน-วู-ลิ (ลามูริในเกาะสุมาตรา)
๑๕. รัฐ ซี-ลัน (ซีลอนหรือลังกา)
ต่อมาราชอาณาจักรศรีวิชัยได้แตกสลายตัวลง ดี.จี.อี.ฮอลล์ว่า เนื่องจากถูก "พวกไทย ทางแม่น้ำ เจ้าพระยา ฝ่ายเหนือ และอาณาจักร สิงหัดส่าหรี ในชะวาตะวันตกอีกฝ่ายหนึ่ง" โจมตี ทำให้อิทธิพลของกษัตริย์ศรีวิชัยบนแหลมไทย-มลายูต้องเสื่อมอำนาจลง ประการสุดท้าย เกิดจากชาวจีน มีความรู้ ในเรื่องการเดินเรือ และการต่อเรือสำเภาที่มีคุณภาพดี สามารถออกทำการค้าขายกับเมืองต่างๆ ตามหมู่เกาะชวา และติดต่อขายกับพ่อค้าอาหรับ เปอร์เซีย และอินเดียโดยตรง ไม่ต้องผ่านเมืองท่าที่อยู่ในอาณัติของศรีวิชัย ซึ่งเคยเป็น ศูนย์กลางค้า ระหว่าง โลกตะวันตก กับโลกตะวันออก อีกต่อไป ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของศรีวิชัยต้องทะลายลง
อาณาจักรสิงหัดสาหรี ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกเจ้าชายจายากัตวัง แห่งแคว้นเคดิรี ลอบเข้ามา โจมตี นครหลวง ในขณะที่ พระเจ้า เกอรตานาการา กำลังประกอบพิธีบูชาศิวะพุทธเจ้า เจ้าชายวิชายา ราชบุตรเขย ซึ่งยอมจำนนต่อเจ้าชายจายากัตวัง และได้รับ การแต่งตั้ง ให้ไปปกครองดินแดนในแถบลุ่มน้ำ Brantas ได้รวบรวมกำลังขึ้นต่อสู้กู้เอกราชกลับคืนมาได้ และได้จัดตั้ง อาณาจักร มัชฌปาหิต ขึ้นในปี พุทธศักราช ๑๘๓๖
หนังสือเนเกอราเกอรตากามา แต่งโดยพระปัญจนักบวชในลัทธิศิวะพุทธ ได้กล่าวถึงอิทธิพลของกษัตริย์มัชฌปาหิตว่า ได้ส่ง กองทัพเรือ เข้ามา ยึดครอง ดินแดนตามหมู่เกาะ ตลอดขึ้นมาถึงปลายแหลมไทย-มลายู ยึดปาหัง เสียมวัง กลันตัน และตรังกานู ฯลฯ ซึ่งเรียกรวมๆ กันว่า ลังกาสุกะ ไว้ได้
ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ก็ได้บันทึกสนับสนุนข้อความที่พระปัญจเขียนไว้ว่า "ครั้งนั้นเจ้าเมืองชาว ยกไพร่พลมาทางเรือ มารบ เอาเมือง ชวา จับตัวพระยา ได้พระอัครมเหสี ก็ตามพระยา (นครฯ) ไปถึงเกาะอันหนึ่ง ได้ชื่อว่า เกาะนาง โดยครั้งนั้น ชวา ก็ให้ เจ้าเมือง ผูกส่วย ไข่เป็ด แก่ชวา ชวาก็ให้พระยา (นครฯ) คืนมาเป็นเจ้าเมือง" ตามเดิม
ในระยะเดียวกันนี้ อาณาจักรสุโขทัยก็ได้แผ่อำนาจเข้ามาครอบครองรัฐละโว้-อโยธยา สุพรรณภูมิ และนครศรีธรรมราช ไว้ และได้ผนวก กำลัง กันเข้าทำการขับไล่อิทธิพลของกษัตริย์มัชฌปาหิตออกไปจากแหลมไทยมลายู ดังปรากฏ หลักฐาน แสดงอาณาเขต ของ อาณาจักร สุโขทัยในครั้งนั้นไว้ในจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า "เบื้องหัวนอนรอด คนที แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งสมุทรเป็นที่แล้ว" หลักฐานจีนก็ว่า ปี ค.ศ.๑๒๙๕ (พ.ศ.๑๘๓๘) จีนส่งฑูตมาตักเตือนสุโขทัยไม่ให้รุกรานมาลิยูเออร์ (ความสัมพันธ์ระบบบรรณาการ ระหว่าง จีนกับไทย หน้า ๓๗ ของ ดร.สืบแสง พรหมบุญ มาลิยูเออร์ นี้ บางท่านว่า คือ เมืองแจมบี ในเกาะสุมาตรา)
รัฐลังกาสุกะ จึงเข้ามารวมอยู่ในพระราชอาณาจักรของชาวไทยเป็นครั้งแรก ภายใต้การควบคุมของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็น พระญาติ ของพระเจ้าขุนรามคำแหงตั้งแต่นั้นมา ดังที่โทเมบีเรส์ กล่าวว่า "ผู้เป็นใหญ่" (ในการบังคับบัญชาราชอาณาจักร) รองลงมา (จากพระเจ้าแผ่นดิน) คืออุปราชแห่งเมืองนคร เรียกกันว่า "Poyohya" (พ่ออยู่หัว) เขาเป็นผู้ว่าราชการจากปะหังถึงอยุธยา และหลักฐาน ทางจีน ก็กล่าวว่า ใน ค.ศ.๑๔๑๙ (พ.ศ.๑๙๖๒) "ขันทีหยางหมิน (Yangmin) เดินทางมาไทย พร้อมกับ อัญเชิญ คำตักเตือน ของ องค์จักรพรรดิ์ ต่อการรุกรานมะละกาของไทย"
กษัตริย์มะละกาขณะนั้น คือ เจ้าชายปรเมศวร หนังสือ Sumariental ของ Tome Pires กล่าวว่า เจ้าชาย ปรเมศวร มีเชื้อสาย มาจาก ราชวงศ์ ไศเลนทร์ แห่งเมืองปาเล็มบัง ไปได้เจ้าหญิงในราชวงศ์มัชฌปาหิตมาเป็นพระชายา ต่อมาเกิดขบถขึ้นในเมืองมัชฌปาหิต โดยเจ้าชาย วีรภูมิเป็นผู้นำ ในปี ค.ศ.๑๔๐๑ (พ.ศ.๑๙๔๔) จึงลี้ภัยการเมืองมาอาศัยเจ้าเมือง Tamasik (สิงคโปร์) ภายหลัง เจ้าชาย ปรเมศวร ได้ลอบฆ่า เจ้าเมือง Tammasik เจ้าเมืองปัตตานีซึ่งเป็นพระญาติกับเจ้าเมือง Tammasik ได้ขับไล่ปรเมศวรออกไปจากเมือง Tammasik ปรเมศวรจึงหนีมาตั้งเมืองมะละกาขึ้นในปี ค.ศ.๑๔๐๓ (พ.ศ.๑๙๔๖)
ต่อมา เจ้าชายปรเมศวรได้อภิเษกสมรสกับพระธิดาเจ้าเมืองปาไซในเกาะสุมาตราที่นับถือศาสนาอิสลาม ปรเมศวร จึงเลื่อน จากการ นับถือ ศาสนาฮินดู (ศิวะพุทธ) มาเป็นศาสนาอิสลาม และได้เฉลิมพระนามตามหลักการของศาสนาอิสลามมีนามว่า เมกัตอิสกานเดอร์ชาฮ์
เจ้าชายปรเมศวรต้องเดินทางไปเฝ้าจักรพรรดิ์จีน เพื่อขอให้จีนช่วยเจรจาห้ามปรามกษัตริย์ไทย ทำการรุกราน มะละกา ซึ่งฝ่ายไทยถือว่า ดินแดนมะละกา อยู่ในความปกครองของไทยมาก่อน ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศว่า "ครั้งนั้น พระยา ประเทศราชขึ้น ๑๖ เมือง คือ เมืองมะละกา เมืองชวา เมืองตะนาวศรี เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลำเลิง เมืองสงขลา เมืองจันทบูร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิจิตร เมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์" และในกฎ มณเฑียรบาล ประมาณว่าเขียนในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ราวปี พ.ศ.๑๙๐๓ หรือ ๑๙๙๐ ก็ว่า "กษัตริย์ แต่ได้ถวายดอกไม้ทองเงินนั้น เมืองใต้ เมืองอุยงตาหนะ (หรือฮุยงเมทนี ยะโฮร์ และสิงคโปร์) เมืองมะละกา เมืองมลายู เมืองวรวารี (ไทรบุรี) ๔ เมืองถวายดอกไม้ทองเงิน"
พ.ศ.๑๘๖๖ อาณาจักรสุโขทัยหลังจากพ่อขุนรามคำแหงสิ้นพระชนม์ (พ.ศ.๑๘๔๓) แล้ว กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มา ไม่สามารถ ดำรงความเป็น ผู้นำ ไว้ได้ พระบรมราชากษัตริย์แห่งรัฐละโว้ อโยธยา ทรงปฏิเสธต่ออำนาจอาณาจักรสุโขทัย ได้เข้ายึดครอง เมืองนครศรีธรรมราช ตลอดไปจนถึงหัวเมืองต่างๆ บนแหลมมลายู ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ความว่า "เมื่อท้าวอู่ทอง กับท้าวศรีธรรมโศกราช จะเป็นไมตรีกันนั้น ท้าวอู่ทองขึ้นบนแท่นแล้ว พระยาศรีธรรมโศกจะขึ้นไปมิได้ ท้าวอู่ทอง ก็จูงพระกร ขึ้นมงกุฎ ของพระเจ้าศรีธรรมโศก ตกจากพระเศียร แล้วท้าวศรีธรรมโศกสัญญาว่า เมื่อตัวพระองค์ กับพระอนุชา ของพระองค์ ยังอยู่ ให้เป็นทอง แผ่นเดียวกัน ถ้าท้าวอู่ทองต้องประสงค์สิ่งใดจะจัดแจงให้นานไปเบื้องหน้าให้มาขึ้นกรุงศรีอยุธยา"
ชาวจีนชื่อ หวังต้าหยวน ก็ได้บันทึกไว้ในปี ค.ศ.๑๓๔๙ (พ.ศ.๑๘๙๒) ว่า เสียน (สยาม) โจมตี Tammasik (สิงคโปร์) ซึ่ง "เสียน" ในที่นี่หมายถึง อาณาจักรละโว้-อโยธยา ของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง
ครั้นถึงปี พ.ศ.๑๘๘๕ กษัตริย์ละโว้-อโยธยา ก็ส่งพระพนมวัง-นางสะเดียงทอง ออกมาปกครองเมืองนครศรีธรรมราช พระพนมวัง ได้สร้างเมืองนครดอนพระ (อำเภอกาญจนดิษฐ์) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นเป็นศูนย์การปกครองอยู่ชั่วคราว ต่อมาราวปีพุทธศักราช ๑๘๘๗ พระพนมวังแต่งตั้งให้พระฤทธิเทวา (เจสุตตรา) ออกไปครองเมืองปัตตานี หนังสือสยาเราะห์เมืองปัตตานี เรียกชื่อเมืองปัตตานีสมัยนั้นว่า "เมืองโกตามหลิฆัย" ส่วนหนังสือเนเกอรราเกอราคามา เรียกว่า "ลังกาสุกะ" ประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีกล่าวต่อไปว่า พระฤทธิเทวา (พระเปตามไหยกาของพญาอินทิรา) ได้นำชาวเมืองโกตามหลิฆัย ไปช่วยพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สร้างพระนคร ศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ.๑๘๙๐ - ๑๘๙๓)
พระฤทธิ์เทวา (เจสุตตรา) ครองเมืองโกตามหลิฆัยอยู่จนถึงปี พ.ศ.๑๙๒๗ ก็สิ้นพระชนม์ รวมเป็นระยะเวลาที่ครองราชย์อยู่ ๔๐ ปี กษัตริย์องค์ต่อไป ไม่ปรากฏนามชัดเจน ประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีระบุเพียงว่าเป็นสมเด็จพระอัยกาของพญาอินทิรา ครองราชย์ อยู่ระหว่างปี พ.ศ.๑๙๒๗ - ๑๙๖๗ เป็นเวลา ๔๐ ปี พระโอรสมีนามว่าพญาตุกูรุปมหาจันทรา ได้เสวยราชสมบัติสืบต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๙๖๗ - ๒๐๑๒ รวม ๔๕ ปี พญาอินทิราราชโอรสก็ได้ขึ้นครองนครโกตามหลิฆัยเป็นองค์สุดท้าย ระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๒ - ๒๐๕๗ รวม ๔๕ ปี
ในรัชสมัยของพญาอินทิรา ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ได้แก่ การเข้ารีตรับศาสนาอิสลามของพญาอินทิรา ประวัติศาสตร์ เมืองปัตตานี กล่าวถึงสาเหตุ ที่พญาอินทิรา ต้องเปลี่ยนจากการนับถือพระพุทธศาสนา มานับถือศาสนาอิสลามว่า เนื่องจากพระองค์ ทรงประชวร ด้วยโรคผิวหนัง (น่าจะเป็นโรคเรื้อน) นายแพทย์ซึ่งเป็นมุสลิม ชื่อ เช็คสอิด (หนังสือสยาเราะห์เกอรจาอันมลายูปัตตานี ของ อิบรอฮิม ซุกรี เรียก "เช็กซาฟานุคดีน") (น่าจะเป็นชาวเมืองปาไซในเกาะสุมาตรา) ซึ่งเข้ามาตั้งนิวาสสถานอยู่ ณ หมู่บ้านปาไซ (บ้านป่าศรี ในท้องที่ อำเภอยะหริ่ง) ได้รับอาสาถวายการพยาบาล โดยมีเงื่อนไขว่า หากพระองค์ได้รับการรักษาจนหายจากโรคแล้ว ขอให้พญาอินทิรา ทรงเปลี่ยนจากการเป็นพุทธมามกะมาเป็นอิสลามิก ซึ่งต่อมา พระองค์ก็ได้รับการพยาบาลจากนายแพทย์เช็คสอิด จนโรคผิวหนังนั้น หายขาดสนิท และทรงปฏิบัติตามสัญญา ที่ให้ไว้แก่นายแพทย์เช็คสอิด ด้วยการเข้ารับศาสนาอิสลาม เป็นพระองค์แรก ของกษัตริย์เมือง โกตามหลิฆัย และทรงเปลี่ยนพระนามพระองค์ตามประเพณีศาสนามีนามว่า สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์ แต่หนังสือ สยาเราะห์ เกอรจาอัน มลายู ปัตตานี ของอิบรอฮิม ซุกรี เรียกว่า สุลต่านมูฮัมหมัดชาฮ์
ดี.จี.อี. ฮอลล์ กล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม ๑ ว่า "รัฐปัตตานีก็เปลี่ยนศาสนาเพราะมะละกา" สาเหตุเพราะ มะละกา โกรธแค้นไทย ที่เคยไปโจมตีมะละกา สุลต่านมุซัฟฟาร์ชาฮ์ จึงส่งกองทัพมาตีหัวเมืองประเทศราชของไทย คือ ปาหัง ตรังกานู และปัตตานีไว้ได้ระยะหนึ่ง ระหว่างปี พ.ศ.๑๙๘๘ - ๒๐๐๒ ต่อมา ในสมัยของสุลต่านมันสุร์ชาฮ์ ราชโอรสของสุลต่านมุซัฟฟาร์ชาฮ์ ซึ่งครองราช ต่อจากพระราชบิดา ในปี พ.ศ.๒๐๐๒ - ๒๐๒๐ จึงยอมตกลงเป็นมิตรกับไทย ฉะนั้น หัวเมืองประเทศราชของไทย ซึ่งเคยนับถือ ศาสนาพุทธมาก่อน ได้แก่ ปาหัง ตรังกานู กลันตัน ปัตตานี และไทรบุรี ก็คงจะทำการเปลี่ยนศาสนา ในรัชสมัย ของกษัตริย์ มะละกา องค์ใดองค์หนึ่ง ที่กล่าวมาแล้ว เพราะระยะนั้น อาณาจักรมะละกามีอำนาจทางการเมืองเข้มแข็งมาก และยังทำหน้าที่ เป็นศูนย์กลาง การเผยแพร่ศาสนาอิสลามอีกด้วย อนึ่ง ระยะเวลาที่พญาอินทิรา เจ้าเมืองปัตตานี ผู้เปลี่ยนศาสนา มารับอิสลาม ครองเมืองปัตตานี ระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๒ - ๒๐๕๗ นั้น ใกล้เคียงกับสมัยของสุลต่านมันสุร์ชาฮ์ มาก
การตั้งเมืองปัตตานี :
เหตุการณ์ ที่ควรจารึกไว้ อีกประกา หนึ่ง ใน สมัย ของ สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์ ก็คือ การ ย้าย พระนคร โกตา มหลิฆัย (คำ "โกตา มหลิฆัย" โกตา แปลว่า ป้อม ใน ที่ นี้ หมายถึง เมือง "มหลิฆัย" แปล ว่า ปราสาท หรือ พระ เจดีย์) (หรือ ลังกาสุกะ) มา สร้าง พระนคร ใหม่ ขึ้น ที่ สันทราย บริเวณ ตำบล ตันหยง ลุโละ ตำบล บานา หมู่บ้าน กรือเซะ ในท้องที่ อำเภอ เมืองปัตตานี ในปัจจุบัน โดย พระองค์ พระราชทาน นาม เมืองนี้ ว่า "ปัตตานี ดารัสลาม" (นครแห่งสันติ) เหตุที่ ทรงย้าย พระนคร ในครั้งนั้น เนื่องมาจาก
๑. สภาพ ของ แม่น้ำ ลำคลอง ที่เคยใช้ เป็นทาง สัญจร โดย อาศัย เรือ ขนาดเล็ก ขึ้นล่อง ติดต่อ ไปมา ระหว่าง เมือง โกตา มหลิฆัย กับ อ่าว ปัตตานี เกิดการ ตื้นเขิน เรือ เดิน เข้าออก ใช้การได้ เป็นบางฤดู ทำให้ ไม่สะดวก ในการ ลำเลียง สินค้า ที่นับวัน จะเพิ่ม ปริมาณ สูงขึ้น
๒. เป็นเพราะ มีความ จำเป็น ทางด้าน เศรษฐกิจ ที่ต้องการ ติดต่อ ค้าขาย กับ พ่อค้า ชาว ต่างประเทศ ทวี ยิ่งขึ้น จากที่เคย ติดต่อ ค้าขาย กับ พ่อค้า กลุ่มชาว อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ จีน ญี่ปุ่น มาเป็น ชาวยุโรป และ ชาติอื่นๆ มากขึ้น
๓. อ่าวปัตตานี มี แหลมโพธิ์ เป็นที่ กำบัง ลม ทำให้ คลื่นลม สงบ เงียบ เหมาะ แก่ การใช้ เป็น สถานที่ หยุดพัก เรือ สินค้า และ เมือง ปัตตานี มี ไม้ เนื้อแข็ง ที่มี คุณภาพ สูง (ตะเคียน หลุมพลอ) สำหรับ ใช้ ในการ ต่อเรือ สินค้า ใน คราว จำเป็น ได้อีกด้วย
๔. เมือง ปัตตานี สมัย อยุธยา ยัง อุดม ไปด้วย สินค้า ของป่า ได้แก่ ทองคำ ดีบุก เกลือ หนังสัตว์ เขา งา นอแรด ไม้ฝาง ไม้กรักขี ไม้มะเกลือ หวาย และ พืช จำพวก สมุนไพร อันเป็นที่ต้องการ ของ ชาว อาหรับ และ ชาวยุโรป และ ทั้ง ยังมี อาหาร บริบูรณ์ ดังที่ มันเดล สโล กล่าว ไว้ว่า "ชาวเมือง ปัตตานี มีผลไม้ กิน ทุกเดือน เดือนละหลายๆ ชนิด มี แม่ไก่ ฟักไข่ วันละ ๒ ครั้ง บริบูรณ์ ด้วย ข้าว เนื้อวัว แพะ ห่าน เป็ด ไก่ ไก่ตอน นกยูง กวาง กระต่ายป่า นกต่างๆ เนื้อกวาง เค็ม ตากแห้ง และ โดยเฉพาะ ผลไม้ มีตั้ง ๑๐๐ กว่าชนิด" ไว้ สำหรับ จำหน่าย ให้แก่ ชาวเรือ ที่ แวะมา เยี่ยมเยือน เมืองท่า นี้ ได้ ตลอด ทั้งปี
๕. เมือง โกตา มหลิฆัย เป็น เมือง ที่ พระพุทธ ศาสนา มา ปักหลัก ลงราก ฝังลึก มาช้านาน มี ถาวร วัตถุ สถาน ทาง พุทธ ศาสนา ที่ บรรพชน ได้ ก่อสร้าง ไว้ มากมาย ซึ่ง เป็นการยาก ที่ พญา อินทิรา (สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์) ซึ่ง เพิ่ง เปลี่ยน มารับ อิสลาม ใหม่ๆ จะทำการส่งสริมหรือทำลายโบราณวัตถุสถานเหล่านั้นลงได้
สาเหตุ ที่ พญา อินทิรา (สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์) เปลี่ยน ศาสนา นั้น มีผู้ตั้ง ข้อสันนิษฐาน ไว้ อีก แง่มุม หนึ่งว่า เป็นผล มาจาก อิทธิพล ทาง การเมือง บีบบังคับ อันเนื่อง มาจาก มะละกา ซึ่ง เคย เป็น ประเทศราช ของไทย ได้ กลาย เป็น ศูนย์การค้า ที่ เจริญ รุ่งเรือง ทั้ง ด้าน เศรษฐกิจ การเมือง และ การทหาร ตรงกันข้าม กับ อาณาจักร อยุธยา ขณะนั้น กำลัง ทำ สงคราม กับ อาณาจักร ล้านนา เป็น ระยะ ติดต่อ กัน ยาวนาน เป็นเหตุให้ ต้อง สิ้นเปลือง ไพร่พล ทหาร และ ยุทโธปกรณ์ เป็นอันมาก มะละกา จึงถือโอกาส ที่ไทย กำลัง อ่อนเปลี้ย ลง ทำการ แข็งเมือง ไม่ยอม ถวาย เครื่องราช บรรณาการ แก่ กษัตริย์ ไทย ดังที่เคย ถือปฏิบัติ มา
สมเด็จ พระบรม ไตร โลกนาถ จึงได้ ส่ง กองทัพ อยุธยา และ กองทัพ จาก หัวเมือง ปักษ์ใต้ ไป ตี เมือง มะละกา ถึง ๒ ครั้ง แต่ ไม่ประสพ ความสำเร็จ ฝ่าย มะละกา กลับส่ง กองทัพ เข้ามาตี เอาเมืองขึ้น ของไทย ไป จน หมดสิ้น ได้แก่ ปาหัง ตรังกานู กลันตัน ไทรบุรี ฯลฯ ในขณะ เดียวกัน กษัตริย์ มะละกา ก็ ทำหน้าที่ เผยแพร่ ศาสนา อิสลาม ไปด้วย
พญา อินทิรา (สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์) ซึ่ง เคย นับถือ พุทธ ศาสนา มาก่อน ก็ต้อง อ่อนโอน ยอม ผ่อน ตาม สุลต่าน มันสุร์ชาฮ์ กษัตริย์ มะละกา ด้วยการ ยอมรับ นับถือ ศาสนา อิสลาม กล่าวกันว่า ในสมัย ที่ ปัตตานี ถูก รุกราน จาก กองทัพ มะละกา ได้มีการ ทำลาย พระพุทธรูป เทวรูป และ โบราณ สถาน ในเมือง โกตา มหลิฆัย หรือ ลังกา สุกะ ไป จน หมดสิ้น
มีข้อ ที่น่า สังเกตว่า หลังจาก สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์ ตั้ง เมืองปัตตานี ดารัสลาม ขึ้นแล้ว ในระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๒ - ๒๐๕๗ ชื่อ ของ เมือง ลังกา สุกะ ปรากฏ เป็น ครั้ง สุดท้าย ใน บันทึก ของ ชาวอาหรับ ชื่อ เทวาฮูตี ในปี พ.ศ.๑๕๑๑ (พ.ศ.๒๐๕๔) หลังจากนั้น เรื่องราว ของ เมือง ลังกา สุกะ ก็หาย ไปจาก หน้า ประวัติ ศาสตร์ เอเซีย ตะวันออก เฉียงใต้ ปรากฏ ชื่อ เมือง ปัตตานี โดดเด่น ขึ้นมา แทนที่ และ เมื่อ อัลบูเคิก ชาว โปรตุเกส นำ กองทัพ เรือ เข้า ยึดครอง มะละกา ปี พ.ศ.๒๐๕๔ ใน สมัย สุลต่าน มหหมุดชาฮ์ บรรดา พ่อค้า มุสลิม และ จีน ที่ ไม่พอใจ ชาว โปรตุเกส (ชิมาโอ เดอ อังดราเด (Simao De Andrade) ซึ่ง กระทำตน เป็น โจร สลัด) ต่างก็ พากัน เข้ามา ค้าขาย ใน เมือง ปัตตานี เป็น จำนวน มาก ทำให้ เมือง ปัตตานี กลายเป็น ศูนย์ การค้า ที่ สำคัญ อีก แห่งหนึ่ง ใน บริเวณ อ่าวไทย ซึ่ง จะได้ นำไป กล่าวไว้ ในเรื่อง ความสัมพันธ์ กับ ต่างประเทศ ในตอนหลัง
ในรัชสมัย สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์ (พญา อินทิรา) นี้ ได้สร้าง โบราณ วัตถุ ที่มีชื่อ ทาง ศิลปกรรม ที่งดงาม ยิ่ง ไว้ คือ ปืน พญา ตานี โดยฝีมือช่าง "ชาวโรมัน ชื่อ อับดุลซามัด" เป็นปืน หล่อด้วย ทองเหลือง ขนาด ใหญ่ มีความยาว วัดได้ ๖ เมตร ๙๘ เซนติเมตร ปากกระบอก กว้าง ๔๔ เซนติเมตร หนา ๖ เซนติเมตร บรรจุ กระสุน ขนาด ๑๑ นิ้วทางปากกระบอก ปัจจุบัน ปืน กระบอกนี้ ยังคง ตั้ง โดดเด่น อยู่หน้า กระทรวง กลาโหม ใน กรุงเทพ มหานคร (ประวัติ ของปืน ดูได้ จาก เรื่อง ปืน พญา ตานี ในหนังสือ แลหลัง เมืองตานี ของผู้เขียน)
สุสาน ที่ฝังศพ ของ พระองค์ ตั้งอยู่ ในท้องที่ บ้าน ปาเระ ตำบล ตันหยง ลุโละ อำเภอ เมือง ปัตตานี มี "แนแซ" หรือ "ตานอ" บน เนินดิน เหนือ หลุมศพ ตาม ประเพณี ของ ชาวไทย มุสลิม ในภาคใต้ แนแซ หลักนี้ ได้ สร้างขึ้น ตาม ศิลปกรรม ของ ชาวจีน คือ ใช้ หิน แกรนิต แกะสลัก เป็นรูป ก้อนเมฆ ไว้ส่วนบน (ส่วนกลางสลักด้วยอักษรอาหรับต่างลวดลาย) อันเป็นที่มาของคำ "ฮก, ลก, ซิ่ว" ที่ชาวจีนใช้เขียนเป็นคำอวยพร เช่นเดียว กับ คำ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ที่ชาวไทย รับมา จาก คติ ธรรม ของ ชาว อินเดีย
ในเชิง ศิลปกรรม คำว่า "ฮก" ช่างจีน ได้ใช้ สัญลักษณ์ ต่อไปนี้ แทน คือ รูป ขุนนาง จีน รูป ค้างคาว ดำ รูป ก้อนเมฆ รูป พระอาทิตย์ รูป ดอก โบตั๋น หรือ ดอก พุดตาน ฯลฯ หมายถึง เกียรติยศ ชื่อเสียง ผู้มีอำนาจ
คำว่า "ลก" หมายถึง ความ อุดม สมบูรณ์ โภคทรัพย์ บุตร บริวาร สัญลักษณ์ ที่ใช้ แทนคำ "ลก" ได้แก่ รูป เศรษฐี มือ อุ้มเด็ก กวางดาว ดวงจันทร์ ดอกเบญจมาศ ผลทับทิม ทะเลหรือน้ำ และคลื่น
ส่วนคำ "ซิ่ว" นี้ ใช้ สัญลักษณ์ ต่อไปนี้ แทน คือ รูป เซียน หรือ คนชรา ดวงดาว นก ที่มี ขนดำ ต้นสน ซึ่ง หมายถึง ความ ยั่งยืน มั่นคง ความดี (ความหมาย ของ คำ ฮก, ลก, ซิ่ว นี้ อาจจะ แตกต่าง กับ ที่ ผู้อื่น เขียน ไว้บ้าง ขอให้ ผู้อ่าน พิจารณา ตีความ เอาเอง)
แสดง ให้เห็น ถึง อิทธิพล วัฒนธรรม จีน ที่ เข้ามา ผสม ผสาน กลมกลืน ไปกับ วัฒนธรรม ท้องถิ่น และ การ เข้ามา ของ ชาวจีน เพื่อ การค้า และ ตั้ง ถิ่นฐาน วางรกราก อยู่ ในเมือง ปัตตานี มา ตั้งแต่ เริ่ม สร้าง เมือง ปัตตานีแล้ว ดังจะเห็น ได้จาก ข้อความ ในหนังสือ Purchase,-his Pilgrimage ของ ชาว อังกฤษ บรรยาย ถึง สภาพ สังคม และ บ้านเมือง ปัตตานี ใน สมัย นั้นว่า
"ปัตตานี เป็น นคร หนึ่ง อยู่ทาง ใต้ ของ สยาม อาคาร บ้านเรือน เป็นไม้ และ แฝก แต่ เป็น งาน สร้าง ด้วย ฝีมือ อย่าง มีศิลปะ มี สุเหร่า หลายแห่ง สุเหร่า ก่อด้วย อิฐ มี ชาวจีน มากกว่า ชาวพื้นเมือง (หมายถึง บริเวณ เมืองท่า ที่ เป็น ศูนย์ การค้า) พลเมือง มี ภาษา ใช้กัน ๓ ภาษา คือ ภาษา มลายัน ภาษาไทย และ ภาษาจีน ชาวจีน สร้าง ศาลเจ้า ชาวไทย สร้าง พระพุทธรูป พระสงฆ์ นุ่งเหลือง ห่มเหลือง ชาว ปัตตานี นับถือ ศาสนา พระมหะหมัด (ศาสนา อิสลาม) ชาวจีน และ ชาว สยาม นับถือ ศาสนา Ethniks" (เข้าใจ ว่า ตรงกับ ลัทธิ เคารพ บูชา บรรพ บุรุษ ของ ขงจื้อ ดูหนังสือ ภูมิหลัง ของไทย และ แหลมทอง ของ ไพโรจน์ โพธิ์ไทร)
ที่ บริเวณ ตำบล ที่ ฝังพระศพ สุลต่าน องค์นี้ ได้พบ ศิลา จารึก ของ ชาวจีน ที่ใช้ วาง หน้า หลุมศพ ใน ฮวงซุ้ย ร้าง จารึก แจ้ง วัน เดือน ปี นางซู้ฉิน แซ่เฉิน ผู้เป็น มารดา ว่า ถึง แก่กรรม เมื่อ "ปีเหยินเฉิน ศักราช ว่านหลี แห่ง ราชวงศ์ เหม็ง" ซึ่งตรง กับปี พ.ศ.๒๑๓๕
ภายใน เขต เทศบาล เมือง ปัตตานี ก็ยัง มี ศาลเจ้า เก่า ของ ชาวจีน ชื่อ "ศาลเจ้า ซูก๋ง" อยู่หลังหนึ่ง ติดถนน อาเนาะรู ปัจจุบัน เรียก ศาลเจ้า นี้ ว่า "ศาลเจ้า เล่งจูเกียง" ภายใน ศาล แห่งนี้ มีจารึก ภาษาจีน ว่า สร้างขึ้น เมื่อ "วันชัยมงคล ปีบ่วนเละที่ ๒ ศักราช ราชวงศ์ เหม็ง" ตรงกับ ปีพุทธ ศักราช ๒๑๑๗ เป็น หลักฐาน ชี้ถึง ที่ตั้ง ชุมชน ชาวจีน สมัย อยุธยา อย่างเด่นชัด
สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์ (พญา อินทิรา) ครองเมือง ปัตตานี อยู่ เป็น เวลา ๔๕ ปี พญา โกรุป พิชัย พิทักษ์ ราชบุตร ซึ่ง เฉลิม พระนาม ใหม่ ตาม ประเพณี ศาสนา ว่า สุลต่านมาดฟาร์ชาฮ์ ได้มีการ ทนุ บำรุง บ้านเมือง และ การศาสนา โปรดให้สร้าง สุเหร่า (มัสยิด) ขึ้นตามชุมนุมชน เพื่อ ให้ ราษฎร ได้ใช้ ปฏิบัติ ศาสนกิจ ทั่วพระนคร และ โปรด ให้เชิญ ผู้ เชี่ยวชาญ ศาสนา อิสลาม มาจาก เมืองปาไซ ชื่อ เช็คซาฟีนุดดีน มาเป็น ผู้ บรรยาย หลักธรรม แก่ ข้าราชการ ใน ราชสำนัก เพื่อ นำ ความรู้ ออกไป เผยแพร่ แก่ อิสลาม มามกะ ตาม ชนบท แม้ กระทั่ง ชาวเมือง โกตา มหลิฆัย (ลังกา สุกะ) ก็พากัน ยอมรับ นับถือ ศาสนา อิสลาม ตามไปด้วย
สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ ได้ เสด็จ ไป เฝ้า กษัตริย์ อยุธยา เนืองๆ (ด้วย พระองค์ ตรัสว่า กษัตริย์ อยุธยา (สมเด็จ พระมหา จักรพรรดิ์) เป็น พระญาติ ของ พระองค์) และ ได้รับ พระราชทาน เชลยทาส มา เป็น กำลัง เมือง เมื่อ สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ กลับมาถึง เมืองปัตตานี แล้ว โปรดให้ เชลยทาส ไปตั้ง บ้านเรือน อยู่ที่ บ้านกฎี (ในท้องที่ อำเภอ ยะหริ่ง ต่อเขต อำเภอ ปะนาเระ บริเวณ หมู่บ้านนี้ ยังมี ซาก เจดีย์ ปรากฏ อยู่ เป็น หลักฐาน และ อีกแห่ง คือ บ้านกฎี ซึ่งอยู่ ต่อเขต อำเภอเมืองปัตตานี)
ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๐๙๒ พระเจ้า กรุงหงสาวดี (ตะเบ็งชเวตี้) ได้ยก กองทัพ มาตี กรุงศรี อยุธยา สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ ได้นำ กำลัง ทหาร ประกอบด้วย "ไพร่พล ที่ชำนาญ เพลงกฤช ติดตาม ไปหนึ่งพันคน และ หญิง อีกร้อยคน" เพื่อ ช่วย กรุงศรี อยุธยา ทำ สงคราม กับพม่า พงศาวดาร กรุงศรี อยุธยา ฉบับ พระราช หัตถ เลขา กล่าวว่า "ขณะนั้น พระยา ตานี ศรีสุลต่าน ยกทัพเรือ หย่าหยับ สองร้อยลำ เข้ามา ช่วย ราชการ สงคราม ถึงทอดอยู่ หน้าวัด กุฎิ บางกะจะ รุ่งขึ้น มาทอด อยู่ ประตูไชย พระยา ตานี ศรีสุลต่าน ได้ที กลับ เป็น ขบถ ก็ยก เข้าใน พระราชวัง สมเด็จ พระมหา จักรพรรดิ์ ราชา ธิราช ไม่ทัน รู้ตัว เสด็จ ลงเรือ พระที่นั่ง ศรีสักหลาด หนีไป เกาะ มหา พราหมณ์ และ เสนา บดี มนตรีมุข พร้อมกัน เข้าไป ใน พระราชวัง สะพัด ไล่ ชาว ตานี แตกฉาน ลงเรือ รุดหนีไป" หนังสือ สยาเราะห์ กรียาอัน มลายู - ปัตตานี ของ อิบรอฮิม ซุกรี ว่า สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ สิ้นชนม์ หลังจาก การสู้รบ กับ ทหารไทย พระศพ ถูกทหาร นำไป ฝังไว้ ที่บริเวณ ปากแม่น้ำ เจ้าพระยา สยาเราะห์ เมือง ปัตตานี ฉบับ ของ นาย หวันอาซัน กล่าวว่า "ไพร่พล ที่ตามเสด็จ หาได้ กลับมา เมือง ปัตตานี แม้แต่ คนเดียว"
ปีที่ สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ สิ้นพระชนม์ ปรากฏ ใน พระราช พงศาวดาร กรุงศรี อยุธยา ตรงกับ ปี พ.ศ.๒๐๙๒ ซึ่ง เป็น ประโยชน์ อย่างยิ่ง ในการ นำไป เป็น หลัก พิจารณา หาปี ครองราชย์ ของ กษัตริย์ ที่ ครอง กรุง โกตา มหลิฆัย ประกอบกับ หลักฐาน ที่ ชาวต่างประเทศ บันทึกไว้ (โปรด ดูเรื่อง แกะรอย เมือง ลังกาสุกะ จาก พงศาวดาร กรุงศรี อยุธยา ของ วันวลิต ในหนังสือ แลหลัง เมืองตานี ของผู้เขียน)
เนื่องจาก พระราช โอรส ของ สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ ยังทรง พระเยาว์ สุลต่านมันดูร์ชาฮ์ พระราช อนุชา ก็ได้รับ การ สถาปนา ขึ้นเป็น กษัตริย์ เมือง ปัตตานี รัชสมัย สุลต่าน พระองค์นี้ ปัตตานี ได้ประสพ กับ ภาวะ สงคราม โดย สุลต่าน เมือง ปาเล็มบัง ในเกาะ สุมาตรา ยก กองทัพเรือ มาปล้น เมือง ปัตตานี ๒ ครั้ง แต่ ชาวเมือง ปัตตานี ก็ สามารถ ปกป้อง เมือง ไว้ได้ ครั้นถึง ปีพุทธ ศักราช ๒๑๐๑ สุลต่าน มันดูร์ชาฮ์ ก็สิ้น พระชนม์ รวมเวลา ที่ปกครอง เมือง ปัตตานี อยู่เพียง ๙ ปี ก่อนที่ พระองค์ จะสิ้น พระชนม์ ได้ทรง มอบหมาย ให้ มุขมนตรี เสนา บดี ให้แต่งตั้ง สุลต่าน ปาเตะเซียม ราชโอรส ของ สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ ขึ้นครอง เมืองปัตตานี แต่เนื่องจาก สุลต่าน ปาเตะเซียม มี พระชนมายุ เพียง ๙ พรรษา รานี ไอเซาะ พระมาตุจฉาเจ้า ซึ่ง เป็น พระมเหสี หม้าย ของ สุลต่าน เมืองสาย ที่สิ้น พระชนม์ ไปแล้ว ได้รับ หน้าที่ เป็นผู้ สำเร็จ ราชการ แทน องค์ ยุว กษัตริย์
หนังสือ กรียาอัน มลายู-ปัตตานี กล่าวถึง การถวาย พระนาม ยุว กษัตริย์ พระองค์นี้ ว่า "รายา ปาเตะเซียม (สยาม) เพื่อเป็น อนุสรณ์ แห่ง พระบิดา ที่สิ้น พระชนม์ ณ สยามประเทศ" แต่ข้าพเจ้า สันนิษฐาน ว่า คำ "ปาเตะ" น่าจะ มาจาก คำว่า "อุปปาติก" ในภาษา บาลี ที่แปลว่า "สัตว์โลก ที่เกิดเอง ไม่มี มารดา บิดา" ทั้งนี้ เพราะ ระหว่างที่ ยุว กษัตริย์ องค์นี้ ประสูติ สมเด็จ พระราช บิดา เสด็จไป ราชการ สงคราม และได้ สิ้น พระชนม์ ไปใน ที่สุด เสมือน ผู้ไม่มี บิดา บังเกิดเกล้า อนึ่ง ในราช สำนัก กษัตริย์ ปัตตานี สมัย นั้น มีการ ใช้ภาษา สันสกฤต บาลี ปะปน กับ ภาษาถิ่น อยู่ เช่น ชื่อ ของ ราชฑูต เมือง ปัตตานี ที่ เจ้าหญิง อูงู ส่งไป เฝ้า พระเจ้า ปราสาททอง ก็มี นามว่า Siratavaradja (สีรัตวรราชา) และ โสรัจจ นาถสะวารี (Soyradja Natsawari) แม้แต่ ชื่อเมือง ปัตตานี เอง ก็มี ที่มา จากคำว่า "ปตฺตน" ในภาษา สันสกฤต ที่แปลว่า เมือง, นคร, ธานี
เจ้าหญิง ไอเสาะ ได้ ดำรง ตำแหน่ง ผู้สำเร็จ ราชการ อยู่ได้ เพียง ๑ ปี เกิด ขัดแย้ง กับ บรรดา ข้าราชการ และ พระบรม วงศา นุวงศ์ ซึ่ง มี รายา มาบัง และ รายา บิมา เป็นหัวหน้า สมคบกับ ทหาร รักษา พระราชวัง ทำการ ขบถ ลักลอบ เข้าไป ปลงพระชนม์ สุลต่าน ปาเตะเซียม และ เจ้าหญิง ไอเสาะ ใน อิสตานา
สุลต่าน บาฮ์โดร์ชาฮ์ ราชโอรส ของ สุลต่าน มันดูชาฮ์ ได้รวบรวม ทหาร ที่ จงรัก ภักดี ทำการ ปราบปราม พวก ขบถ จน ราบคาบ ได้ขึ้น ครองเมือง ปัตตานี สืบมา ในปี พ.ศ.๒๑๐๑ ถึงปี พ.ศ.๒๑๓๕ รวมเป็น เวลา ๓๕ ปี ก็สิ้น พระชนม์ เนื่องจาก พระองค์ ไม่มี พระโอรส มีแต่ พระธิดา ๓ องค์ คือ เจ้าหญิง ฮียา เจ้าหญิง บีรู เจ้าหญิง อูงู บรรดา พระบรม วงศา นุวงศ์ และ มุข มนตรี จึงได้ ประชุม ปรึกษา มีมติ แต่งตั้ง ให้ เจ้าหญิง ฮียา ขึ้นครอง เมือง ปัตตานี นับเป็น ปฐม กษัตริย์ ใน ราชวงศ์ โกตา มหลิฆัย ที่มี พระราชินี เป็นผู้ ปกครอง พระนคร
ในสมัย ของเจ้าหญิง ฮียานี้ เป็นสมัย ที่เมือง ปัตตานี มีการ ติดต่อ สัมพันธ์ กับชาว ตะวันตก มากขึ้น เป็นลำดับ และ เป็นช่วง ระยะ ที่ เศรษฐกิจ การค้า ของเมือง ปัตตานี เจริญ รุ่งเรือง ที่สุด ดังจะนำ ไปกล่าวไว้ ในเรื่อง การสัมพันธ์ กับชาว ต่าง ประเทศ และ เรื่อง เศรษฐกิจ การค้า กับ นานา ประเทศ ในตอน ต่อไป
เอกสาร ของ ชาว ฮอลันดา ฉบับหนึ่ง ได้กล่าว ยกย่อง ถึง พระปรีชา สามารถ ในการ ปกครอง ของ พระนาง ฮียา ไว้ว่า
"ปัตตานี เป็น อาณาจักร โบราณ แต่อยู่ ในอำนาจ ของ สยาม เสมอมา ในเวลานี้ มี ผู้หญิง ปกครอง เป็นธิดา เมือง ปัตตานี องค์ที่ สิ้น พระชนม์ ไปตั้ง ๓๐ ปีแล้ว ถึงแม้ จะเป็น เมืองที่ ผู้หญิง ปกครอง การปกครอง ก็นับว่า ดีพอควร ชาวต่างประเทศ ไม่มี เรื่องที่ จะร้องถึง ความทุกข์ ลำบาก มีข้อ ที่ควร ร้องทุกข์ อยู่อย่างเดียว คือ เสียภาษีมาก เรือ ทุกลำ ซึ่งมา ที่นี่ ต้องเสีย ภาษี ถึง ๒,๐๐๐ เหรียญ สินค้า ทุกอย่าง ที่นำเข้า ต้องเสีย ภาษี ๕ หาบ สินค้า ที่นำออก ก็ต้อง เสียภาษี เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ยังต้อง เสียของ กำนัล และ สินบน อีกมาก" (เอกสาร ฉบับนี้ ลงปี ที่เขียน ตรงกับ ปี พ.ศ.๒๑๖๕) (ดูเรื่อง ความสัมพันธ์ กับ ต่างประเทศ สมัยอยุธยา หลวงวิจิตร วาทการ รวบรวม พิมพ์ ในงาน พระราชทาน เพลิงศพ นางธำรงนาวาสวัสดิ์)
สภาพ ความเป็นอยู่ ของ เจ้าหญิง ฮียา เจมส์ เนกซี่ (James Naccy) ชาว ฮอลันดา ซึ่ง เข้ามา เยือน เมือง ปัตตานี ในปี ค.ศ.๑๖๐๒ (พ.ศ.๒๑๕๕) ได้ บันทึก ไว้ว่า
"นางพญา เป็นหญิง อายุ ๖๐ ร่างสูง เก็บตัว อยู่ ภายใน พระราชวัง กับ บริวาร สตรี อย่าง ใกล้ชิด สตรี เหล่านั้น บางคน ยัง ไม่ได้ แต่งงาน การแต่งงาน ของ บริวาร จะต้อง ได้รับ อนุญาต จาก นางพญา ก่อน บางครั้ง เราเห็น นาง พญา นั่งบน หลังช้าง เสด็จ ออกไป พักผ่อน หย่อนใจ กีฬา ที่นางพญา ชอบ คือ การล่าสัตว์ มีไพร่พล บริวาร ติดตาม ไปด้วย ถึง ๖๐๐ คน และ มี น้องสาว ของ นางพญา ที่ยัง ไม่แต่งงาน มีอายุ ราว ๔๖ ปี ติดตาม ไปด้วย"
ด้าน การ ปกครอง นางพญา ได้แต่งตั้ง มนตรี ขึ้น ๓ นาย เป็น ที่ปรึกษา และ ช่วย ในการ ควบคุม ดูแล การบริหาร แผ่นดิน ให้เกิด ประสิทธิภาพ คือ หวันยะลา หวันอาหลง และ สีริอากา (ศรีอากา)
ในครั้งนั้น ลำน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้ พระราชฐาน เกิดน้ำ ทะเล ไหลบ่า เข้าสู่ ลำคลอง ซึ่ง ตื้นเขินขึ้น ทำให้ ราษฎร ไม่สามารถ ใช้น้ำ ดื่ม อาบ ได้ ดั่ง เช่นเคย พระนาง จึง เสด็จ ออกไป เกณฑ์ ผู้คน และ ควบคุม การ ขุดคลอง ที่บ้าน ตามะงัน (ระหว่าง เขต ตำบล เมาะมาวี กับ ตำบล ปรีกี) อำเภอ ยะรัง เพื่อ ระบาย น้ำ ใน แม่น้ำ ตานี ให้ ไหลลงสู่ คลอง ที่ขุดขึ้นใหม่ จากบ้าน ตะมางัน ถึงบ้าน กรือเซะ ออกสู่ อ่าวกัวรารา ที่ ตำบล ตันหยงลุโละ อำเภอ เมือง ปัจจุบัน ยังผล ให้ราษฎร มีน้ำดื่ม น้ำใช้ และ ประกอบ การเกษตรกรรม ได้ผลดี อีกด้วย
ปี พ.ศ.๒๑๕๕ เจ้าหญิง ฮียา ได้จัด พิธี อภิเษก สมรส ให้แก่ พระขนิษฐา องค์เล็ก (เจ้าห ญิง อูงู) กับ สุลต่าน แห่ง รัฐปาหัง ในพิธี สมรส ครั้งนี้ มี การเชิญ แขก ชาว ต่างประเทศ ที่เข้ามา ค้าขาย อยู่ในเมือง ปัตตานี เข้าร่วม พิธี เป็นจำนวนมาก พ่อค้า ชาวอังกฤษ ชื่อ ปีเตอร์ แวร์โปร์ริส ได้บันทึก เรื่องนี้ ไว้ว่า "วันที่ ๑ สิงหาคม ค.ศ.๑๖๑๒ (พ.ศ.๒๑๕๕) เรา ได้รับเชิญ จาก เจ้าหญิง ไปชม พิธี อภิเษก สมรส ระหว่าง สุลต่าน ปาหัง กับ พระขนิษฐา คือ เจ้าหญิงอูงู สาเหตุ ของการ อภิเษก สมรสนั้น เนื่องจาก นางพญา เมืองตานี มีความ ประสงค์ จะให้ พระขนิษฐา องค์เล็ก เป็นมเหสี ของ สุลต่าน เมืองปาหัง จึงส่ง ราชฑูต ไป ทาบทาม เจ้าเมือง ปาหัง พร้อมกับ ทูลเชิญ สุลต่าน ปาหัง ให้เสด็จ มาทอดพระเนตร เจ้าหญิง อูงู ณ เมืองปัตตานี แต่ สุลต่าน ปาหัง ผัดผ่อน ไม่ยอม เสด็จ มาตาม คำเชิญ พระนาง จึงส่ง ทหาร ๔,๐๐๐ คน เรือรบ ๘๐ ลำ ไปยัง เมือง ปาหัง บังคับ ให้สุลต่าน เมืองปาหัง เสด็จ มา อภิเษก กับ เจ้าหญิง อูงู ที่เมือง ปัตตานี" หลังจากนั้น เจ้าหญิง อูงู ก็ตาม เสด็จ พระสวามี ไป ประทับ อยู่ ณ เมืองปาหัง
เมื่อ เจ้าหญิง ฮียา สิ้น พระชนม์ ลง ในปี พ.ศ.๒๑๕๙ ประชาชน ได้พากัน ขนาน พระนาม ของ พระองค์ว่า "มารโฮม ตามางัน" ทั้งนี้ เพื่อ เป็นการ เทิดทูน พระเกียรติ แด่ พระนาง ที่ได้ ทำการ ขุดคลอง ตะมางัน สำเร็จ
เจ้าหญิง บีรู พระขนิษฐา องค์รอง ได้รับ การ สถาปณา ขึ้น ดำรง ตำแหน่ง ราชินี แห่งเมือง ปัตตานี ด้วย ความเห็นชอบ ของ บรรดา มุขมนตรี และ เสนาบดี ๓ ปีต่อมา คลองตะมางัน ที่ เจ้าหญิง ฮียา ขุดขึ้นใหม่ ถูกกระแสน้ำ ในแม่น้ำ ตานี ไหลบ่า ท่วมท้น เซาะ ตลิ่ง พัง ขยาย ลำน้ำ กว้างยิ่งขึ้น สายน้ำ ได้ไหล เซาะ ตีนสะพาน ตลาด ปินตู ฆาเยาะ (ประตูช้าง) ใกล้ กำแพง เมือง เข้ามา ทุกปี เจ้าหญิง บีรู เกรงว่า กำแพง เมือง จะพัง ทะลาย จึง สั่งให้ ขุนนาง ออกไป เร่งรัด ราษฎร จัดทำ ทำนบ กั้นน้ำ ใน ลำคลอง ไว้ ปัจจุบัน เรียก หมู่บ้าน ที่สร้าง ทำนบ กั้นน้ำ นี้ว่า "กำปง ทาเนาะ บาตู" อยู่ในเขต ท้องที่ อำเภอเมือง ปัตตานี สาเหตุ อีก ประการ หนึ่ง ที่ ทำให้ ต้องสร้าง ทำนบ กั้นน้ำ เนื่องจาก กระแสน้ำ ได้ ไหลบ่า เข้าสู่ คลอง แปแปรี ใน บริเวณ ที่ใช้ ทำนาเกลือ ทำให้ น้ำ ลด ความเค็ม ลง ไม่สามารถ ผลิตเกลือ ซึ่ง เป็น สินค้า สำคัญ ของ เมือง ปัตตานี ออกสู่ ตลาด ได้เช่นเคย ทำให้ รายได้ จากภาษี เกลือ ลดน้อย ลง
หลังจาก สร้างทำนบ กั้น ลำน้ำไว้ คลอง ตะมางัน ก็ค่อยๆ ตื้นเขิน ทิ้งร่องรอย ให้เห็นเพียง "กอจาก" ที่ขึ้นอยู่ ตาม ลำน้ำเก่า จาก สะพาน บ้านปรีกี อำเภอยะรัง ตลอด ริมถนน สิโรรส ด้านขวามือ จนถึง บ้านปุยุด เขตท้องที่ อำเภอ เมืองปัตตานี
ต่อมา ทางเมือง ปาหัง สุลต่าน ผู้เป็น สวามี ของเจ้าหญิง อูงู พระขนิษฐา ของ พระนาง บีรู ได้ สิ้น พระชนม์ ลง พระนาง จึงให้ ขุนนาง นำ ขบวน ออกไป เชิญ เจ้าหญิง อูงู และ เจ้าหญิง กูนิง พระเจ้า หลานเธอ เสด็จ กลับมา ประทับ อยู่เมือง ปัตตานี
ปัตตานี มีความ สัมพันธ์ ทาง การเมือง กับ กรุงศรี อยุธยา ในฐานะ ประเทศราช แต่ เจ้า ผู้ครอง นคร มีอำนาจ สิทธิขาด ในการ ดำเนิน การ ปกครอง กันเอง โดยเสรี หน้าที่ ของ ประเทศราช มีเพียง ส่ง เครื่องราช บรรณาการ คือ ต้นไม้ทองเงิน นำไป ถวาย พระมหา กษัตริย์ ไทยทุกๆ ๓ ปี ขนาด ของ ต้นไม้ทองเงิน ประกอบด้วย
๑. ลำต้นสูง ๒ ศอก ๔ นิ้ว 
๒. กิ่ง ๔ ชั้น รวม ๕ ชั้นทั้งยอด 
๓. ใบต้นไม้ทอง ๒๗๐ ใบ 
๔. ดอก ๑๗ ดอก เป็นทอง 
๕. ใบต้นไม้เงิน ๒๕๘ ใบ 
๖. ดอกไม้เงิน ๑๗ ดอก
ขนาด ดอกไม้ทองเงิน หลังจาก แยกเมือง ปัตตานี ออกเป็น ๗ หัวเมืองแล้ว ขนาด ของ ต้นไม้ ทองเงิน ได้ เปลี่ยนแปลง ไปตาม ฐานะภาพ ของ แต่ละเมือง หน้าที่ อีกอย่าง หนึ่งก็คือ ยามที่ ราชธานี ตกอยู่ ในภาวะ ต้องทำ สงคราม กับ อริราช ศัตรู เจ้า ประเทศราช มีหน้าที่ ต้องให้ ความช่วยเหลือ ในการ ทำ สงคราม ร่วมกัน แต่ เจ้า ประเทศราช ไม่มีสิทธิ ใน อธิปไตย ภายนอก เช่น การทำ สัญญา หรือ ข้อตกลง ใดๆ กับ ต่างประเทศ โดยลำพัง
สมัย เจ้าหญิง บีรู ตรงกับ สมัย ของ พระเจ้า ปราสาททอง ครอง กรุงศรี อยุธยา พระนาง บีรู รังเกียจ พระเจ้า ปราสาท ทอง ที่ ทำการ แข็งเมือง ไม่ยอม ส่ง เครื่องราช บรรณาการ เข้าไปถวาย เป็นเหตุ ให้ พระเจ้า ปราสาททอง ส่งกองทัพ กรุงศรี อยุธยา และ กองทัพ เมือง นครศรี ธรรมราช ยกมาตี เมือง ปัตตานี ทำการ ล้อมเมือง ปัตตานี อยู่ เป็น เวลา ๑ เดือน แต่ เนื่องจาก ขาด เสบียง อาหาร จึงต้อง ถอยทัพ กลับไป
ครั้น เจ้าหญิง บีรู สิ้นพระชนม์ ลงใน พ.ศ. ๒๑๘๓ บรรดา มุขมนตรี แห่งเมือง ปัตตานี ก็ได้ ประชุม ปรึกษา ลงมติ ยกเจ้าหญิง อูงู พระราช ขนิษฐา องค์เล็ก ซึ่ง เป็น มเหสี หม้าย ของ สุลต่าน ปาหัง ขึ้น ปกครอง เมือง ปัตตานี ด้วยการ เกลี้ยกล่อม ของ พวก พ่อค้า ชาว ฮอลันดา ทำให้ เจ้าหญิง อูงู ทรง เปลี่ยน นโยบาย การเมือง ที่เคย กระด้าง กระเดื่อง กลับมาใช้ นโยบาย ทางการทูต แทนการ ใช้กำลัง ทางทหาร ดังข้อความ ที่ พระนาง ตรัสตอบ นายฟอนฟลีต (วันวลิต) ที่เดินทาง ไปเฝ้า พระนาง ในท้องพระโรง พระราชวัง ว่า "การกระทำ ของ บรรดา เจ้าเมือง ปัตตานี ก่อนๆ พระนาง ได้ลืม ไปเป็น เวลา นานแล้ว และ หลังจาก เรา ขึ้น สืบ ราช สมบัติแล้ว ก็ได้ ทำ สันติ ไมตรี กับ พระเจ้า แผ่นดิน สยาม" โดย พระนาง ได้ส่งทูต ชื่อ สีรัตวรราชา (Siratavaradja) และ โสรัจจ นาถสะวารี (Soyradja Natsawari) กับ ขุนนาง ผู้ใหญ่ ถือ ศุภสาส์น พร้อมด้วย เครื่องราช บรรณาการ และ ดอกไม้ ทองเงิน เข้าไป ขอ พระราชทาน อภัยโทษ ต่อ พระเจ้า ปราสาททอง หลังจากนั้น ภาวะ สงคราม ระหว่าง เมือง ปัตตานี กับ ราชอาณาจักร อยุธยา ก็ยุติลง ทำให้ เรือสินค้า ไปมา ค้าขาย กันเป็น ปกติ กิจการ ค้า ภายใน และ ภายนอก เมือง ก็ค่อย กระเดื้อง ขึ้น เช่น สมัย เจ้าหญิง ฮียา ครองราชย์ อีก วาระ หนึ่ง
ต่อมา สุลต่าน เมืองยะโฮร์ ได้ส่ง ทูต มาสู่ขอ เจ้าหญิง กูนิง ราชธิดา ของพระนาง อูงู ให้แก่ ราชโอรส (ยังดี เปอรตู วันมูดอ) พิธี อภิเษก สมรส ได้จัดขึ้น ณ เมืองปัตตานี ใน ท่ามกลาง แขกเมือง ใกล้เคียง และ พ่อค้า วาณิชย์ ชาว ต่างประเทศ ที่เข้ามา ทำการค้า อยู่ใน เมือง ปัตตานี เป็น จำนวน มาก
สยาเราะฮ์ เมืองปัตตานี ฉบับ ของ นายหวันฮาซัน กล่าวว่า "รายา กูนิง นั้น ได้เข้า พิธี อภิเษก สมรส กับ พญา เดชา (เดโช) มาก่อน ภายหลัง พญา เดชา กลับไป กรุงสยาม และ ได้ถึง แก่กรรม ลง รายา กูนิง จึงกลับ มาอยู่ ที่เมือง ปัตตานี และ ได้เข้า สู่ พิธี อภิเษก สมรส กับ ราชบุตร เจ้าเมือง ยะโฮร์ เป็นครั้ง ที่สอง"
จากเรื่องราว ใน พระราช พงศาวดาร กรุงศรี อยุธยา และ ตำนาน เมือง นครศรี ธรรมราช ซึ่งอยู่ ในช่วง กาลเวลา ใกล้เคียง กัน คือ ทาง กรุงศรี อยุธยา มีนาย ทหารเอก ของ สมเด็จ พระนารายณ์ มหาราช คนหนึ่ง ชื่อ พระยา รามเดโช ได้รับ แต่งตั้ง ให้มา เป็น เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช ครั้น เมื่อ สมเด็จ พระเพท ราชา ได้ขึ้น เสวย ราช สมบัติ เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช ทำการ เป็น กบฏ ด้วย รังเกียจ สมเด็จ พระเพท ราชา ว่า ขาดความ จงรัก ภักดี ต่อ สมเด็จ พระนารายณ์ และ พระบรม วงศา นุวงศ์
สมเด็จ พระเพท ราชา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ พระยา ราชวังสัน คุม กองทัพเรือ ยกมาตี เมือง นครศรี ธรรมราช พระยา รามเดโช เห็นว่า จะสู้รบ เอาชนะ กองทัพ กรุงมิได้ จึงลอบ มีหนังสือ ไปถึง พระยา ราชวังสัน ซึ่งเป็น สหาย และ เป็น มุสลิม ด้วยกัน ให้ช่วยเหลือ พระยา ราชวังสัน จึงให้ ทหาร จัดเรือ ให้ พระยา รามเดโช หลบหนี ไปได้ ดังนั้น พญา เดชา หรือ เดโช ในสยาเราะห์ เมือง ปัตตานี ดังกล่าวแล้ว อาจจะ เป็น บุคคล คนเดียว กับ พระยา ราม เดโช เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช ที่กล่าวก็ได้
การสัมพันธ์ ทางการ สมรส ระหว่าง กษัตริย์ และ ขุนนาง เมือง ปัตตานี กับ กรุงศรี อยุธยา มีปรากฏ หลักฐาน อยู่ ดังที่ Tome Pires กล่าวว่า พระบรม ราชาที่ ๑ ได้ธิดา ขุนนาง เมือง ปัตตานี ไปเป็น พระสนม และนาง ได้ประสูติ พระธิดา องค์หนึ่ง ต่อมา นางได้ อภิเษก สมรส กับ เจ้าเมือง ตามาเค็ก (สิงคโปร์) และ ในสมัย กรุงรัตน โกสินทร์ ก็ว่า สมเด็จ พระบวร ราชเจ้า มหา สุรสีหนาท ก็ได้ พระธิดา ของ สุลต่าน อาหะหมัด เจ้าเมือง ปัตตานี ไปเป็น พระสนม ประสูติ ธิดา องค์หนึ่ง ชื่อว่า ตนกูตานี
หลังจาก การ อภิเษก สมรส แล้ว ยังดี เปอร์ตู วันมุดอ (ยะโฮร์) ก็คง อยู่ช่วยเหลือ ราชการ อยู่ ณ เมือง ปัตตานี ไปจน กระทั่ง เจ้าหญิง อูงู สิ้นพระชนม์ ลงในปี พ.ศ.๒๒๐๐
เจ้าหญิงกูนิง ก็ได้รับ การแต่งตั้ง ให้ขึ้น ดำรง ตำแหน่ง ราชินี เมือง ปัตตานี เป็นองค์สุดท้าย แห่ง กษัตริย์ ราชวงศ์ โกตา มหลิฆัย เจ้าหญิง กูนิง นอกจาก ทรงรับ ภาระ ทางด้าน การบริหาร บ้านเมืองแล้ว ยังทรง ประกอบ ธุรกิจ การค้า ทางเรือ สำเภา เป็นส่วน พระองค์ อีกด้วย มีนาย สันดัง ทำหน้าที่ เป็นนายเรือ แล่นไปมา ค้าขาย ติดต่อ กับเมืองท่า ในอ่าวไทย คือ อยุธยา - นครศรี ธรรมราช และ มะละกา อยู่เป็น ประจำ ทำให้ พระนาง มีรายได้ เพียงพอ ในการ ใช้สอย เลี้ยงดู ข้าราช บริพาร ของ พระนาง โดย ไม่ต้อง พึ่งพา เงิน ในท้อง พระคลัง ของเมือง เป็นเหตุ ให้เชื้อ พระวงศ์ มีจิต ริษยา สมคบ กันเป็น กบฏ หมาย ยึดครอง ตำแหน่ง รายา เมือง ปัตตานี ในที่สุด พวกบฏ ซึ่งมี รายา คาลี เป็นผู้นำ ก็ถูก ทหาร ที่จงรัก ภักดี ต่อ พระนาง จับได้ และ นำไป ประหาร ชีวิต หมด
เนื่องจาก เศรษฐกิจ การเงิน ของเมือง ปัตตานี ที่กำลัง เฟื่องฟู และ พระนาง มีรายได้ จากการค้า เรือ สำเภา เป็นอันมาก ในราช สำนัก ของนาง จึงพรั่งพร้อม ไปด้วย นักร้อง และ นักดนตรี จับระบำ ขับร้อง ประสานเสียง ทุกค่ำคืน มีวง มโหรี ที่อยู่ ในความ อุปถัมภ์ ของพระนาง อยู่ ๔ วง คือ
วงของ ตนอามัส ตนเปรัค ตนดาไนย์ และ ตนมาดูซารี และ มีนักร้อง นักระบำ หญิง ที่เลอโฉม อยู่ ๑๒ นาง ได้แก่ ดังซันจอ ดังมาเรียม ดังปิเดาะห์ ดังซิรัต ดังบุษบาซารี ดังอาเล็ต ดังจันทิรา ดังอานัม ดังเซาว์เดาะห์ ดังซาไร ดังสุมารา และ ดังอะลัส
ในจำนวน นักร้องสาว ๑๒ นาง ดังซิรัต แม้จะมี ความงาม สู้นักร้อง คนอื่นๆ ไม่ได้ แต่สำเนียง การขับร้อง และ ท่วงที ลีลา ในการ ร่ายรำ ของนาง อ่อนช้อย น่ารัก ยิ่งนัก จึงสามารถ โน้มน้าว น้ำพระทัย ของ ยังดี เปอร์ตู วันมุดอ ให้มา หลงรักนางได้ จนกระทั่ง มีกำหนด นัดหมาย ทำพิธี วิวาห์ ขึ้น ณ คฤหาสน์ ของ บิดา ดังซิรัต (ปัจจุบัน บริเวณ คฤหาสน์ แห่งนี้ เรียกกันว่า "กอตอโต๊ะเลก" ซึ่ง ยัง ปรากฏ กำแพงดิน และ กอไผ่ เป็นแนว เด่นชัด อยู่ที่ ตำบล กระโด อำเภอยะรัง)
เมื่อ พระนาง กูนิง ทราบข่าว การ สมรส ระหว่าง ดังซิรัต กับ พระสวามี จะมีขึ้น ณ บ้านกระโด (บางฉบับว่า บ้าน ตามางัน) พระนาง จึงสั่ง ทหาร เมือง ปัตตานี ให้ปิด ประตูเมือง และนำ ปืนใหญ่ ไปตั้ง เรียงราย ประจำ ช่อง กำแพงเมือง เตรียมพร้อม ที่จะ ต่อสู้ กับ ทหาร เมืองยะโฮร์ ขณะนั้น ได้ติดตาม ยังดี เปอรตู วันมุดอไป เพื่อร่วม พิธี วิวาห์ กันอยู่ ณ คฤหาสน์ ของ บิดา นางดังซิรัต
ฝ่าย ยังดี เปอร์ตุ วันมุดอ เมื่อทราบ ข่าวว่า เจ้าหญิง กูนิง เตรียมพร้อม ที่จะทำ สงคราม กับชาวยะโฮร์ ก็สั่งงด พิธี วิวาห์ และ ออกเดินทาง กลับไป เมือง ยะโฮร์ ทันที ขณะที่ พระองค์ เสด็จขึ้น ไปประทับ บนหลังช้าง พร้อมกับ นางดังซิรัต ช้าง ได้ใช้งวง ตวัด เอาตัว ดังซิรัต ตกลงมา ทำให้ เครื่องลาง (เครื่องลางที่กล่าว คือ ช้องหมูป่า) ที่นาง ผูกรัด ไว้กับ มวยผม กระเด็น ออกไป จากมวยผม ทันใดนั้น ดวงหน้า ของ ดังซิรัต ที่อิ่มเอิบ แพรวพราย เสน่ห์ น่าชวน พิศมัย ก็แปรเปลี่ยน ไป ประดุจ หน้า ของ ปีศาจ ร้าย ยังดี เปอรตุ วันมุดอ เห็นดังนี้ จึงใช้กริช จ้วงแทง อก ของ ดังซิรัต จนถึง แก่ความตาย เพราะ ความ เคียดแค้น ที่นาง ได้ หลอกลวง พระองค์ ด้วยการ ใช้ เสน่ห์ ยาแฝด และ เครื่องลาง ของขลัง ทำให้ พระองค์ ลุ่มหลง จนลืม เจ้าหญิง กูนิง และ ถูกขับไล่ ออกจาก เมือง ปัตตานี
เมื่อเรื่อง ความรัก หลัง ราชบัลลังก์ แพร่ออกไป สู่ชาว พระนคร ชาวเมือง ก็นำ ไปร้อยกรอง เป็น "ปันตน" ขับร้องกัน ความว่า
"ซามาน ซามานเตอกูโกมาตี มาตีดิบอเวาะฮ์เตอรงเปอรัต 
ซามาน ซามาน รายายะโฮร์มารี มารีเมมบูนุสดังซิรัต 
ดารีปตานีกะตันหยงคานดิส ดิติยุปอางินสลาตันดายา 
ดารีมูลาเอีย-ยามานิส รูปา-งาสุลตันเกอนาดายา"
คำแปล :
อนาถ หนอ นกเขาใหญ่ ชีพดับใต้ต้นพฤกษา 
มะเขือขื่นหื่นรสพา มามรณาอยู่เดียวดาย 
โอ้อนิจจาจอมโยธา ยะโฮร์คราตานีหมาย 
เด็จชีพดังซิรัตวาย ณ ปลายแหลมคานดิส*เนิน 
สลาตันโชยระรื่น ราชาชื่นคำสรรเสริญ 
บ่รู้เดชวายุเพลิน ดุจพระเผชิญเสน่ห์นวล
*(คานดิส คือต้นกายีชนิดหนึ่ง ถิ่นใต้เรียก ต้นเทียะ มีผลเล็ก รสหวาน) 
หลังจาก ยังดี เปอร์ตุ วันมุดอ หนี ออกจาก เมืองปัตตานี ไปแล้ว เมืองปัตตานี ก็ได้ทำ สงคราม กับ เจ้าเมือง สงขลา ดังข้อความ ในรายงาน ของ นายยอร์ช เดวิส และ นายจอห์น ปอร์ตแมน เจ้าหน้าที่ บริษัท อิสต์ อินเดีย ของ ชาวอังกฤษ ที่ประจำ อยู่ ณ เมืองไทรบุรี รายงาน ไปถึง ประธาน กรรมการ บริษัท ที่เมือง สุรัต ความว่า "การสงคราม สู้รบ ระหว่าง เจ้าหญิง เมืองไทรบุรี จักได้ ส่งทูต ไปเกลี้ยกล่อม ปรองดอง เจ้าเมือง ทั้งสอง แล้ว แต่ไม่สำเร็จ" และ อีกฉบับหนึ่ง เป็นของ นาย โยซังเบอร์โรส จากเมือง ไทรบุรี ถึง ประธาน กรรมการ แห่งเมือง สุรัต เช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ค.ศ.๑๖๗๔ (พ.ศ.๒๒๑๗) ความว่า "เมื่อ ๙ เดือนมาแล้ว ชาวไทย ได้เมือง ปัตตานี และ คนใหญ่โต ในเมืองนั้น เสียชีวิต ไปมาก" ถึงกระนั้น ก็ดี สงคราม ระหว่าง เมืองสงขลา กับ ปัตตานี ก็ยืดเยื้อ กันต่อไป ถึง ๔ ปี ดังปรากฏ ข้อความ ใน จดหมาย ของ นายพอตส์ จาก เมือง สงขลา มีไปถึง ริชาร์ด เบอร์นาบี ที่กรุงศรี อยุธยา ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ค.ศ.๑๖๗๘ (พ.ศ.๒๒๒๑) ว่า "เจ้าเมือง ไทยที่นี่ (สงขลา) ได้ช่วยเหลือ ข้าพเจ้า เพื่อ ให้ได้ ตั้งหลักแหล่ง โดยเร็ว ที่ปัตตานี และ การที่ ชาว ปัตตานี ส่วนมาก ทำการ เป็นกบฏ ต่อชาวไทยนั้น ไม่ต้อง สงสัย อันความ ยุ่งยาก ทั้งหลาย คงจะ กลับคืน ดีกันได้ ในเดือน มีนาคม หรือ เมษายน"
ลำดับกษัตริย์ราชวงศ์โกตามหลิฆัย :
ลำดับที่/ นามกษัตริย์/ ปีครองราชย์/ หมายเหตุ
๑ พระฤทธิเทวา (เจศรีสุตตรา) ๑๘๘๗-๑๙๒๗ - ครองกรุงโกตามหลิฆัย
๒ พระอัยกาพญาอินทิรา ๑๙๒๗-๑๙๖๗ - ครองกรุงโกตามหลิฆัย
๓ พญาตุกุรุปมหาจันทรา ๑๙๖๗-๒๐๑๒ - ครองกรุงโกตามหลิฆัย
๔ พญาอินทิรา (สุลต่าลอิสมาเอลชาฮ์) ๒๐๑๒-๒๐๕๗ - ผู้สร้างเมืองปัตตานี
๕ สุลต่านมูซัฟฟาชาฮ์ ๒๐๕๗-๒๐๙๒ - ปีสิ้นพระชนม์ปรากฏชัดแจ้ง ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระราชหัตถเลขา ตรงกับปี พ.ศ.๒๐๙๒ ฉบับของเดวิตเคไวอัตว่าเป็นปี พ.ศ.๒๑๐๖
๖ สุลต่านมันดูร์ชาฮ์ (มันโซร์) ๒๐๙๒-๒๑๐๑
๗ สุลต่านปาเตะเซียม ๒๑๐๑-๒๑๐๑
๘ สุลต่านบาร์ฮาดูร์ชาฮ์ ๒๑๐๑-๒๑๓๕
๘ เจ้าหญิงฮียา (เขียว) ๒๑๓๕-๒๑๕๙
๑๐ เจ้าหญิงบีรู (น้ำเงิน) ๒๑๕๙-๒๑๘๓
๑๑ เจ้าหญิงอูงู (ม่วง) ๒๑๘๓-๒๒๐๐
๑๒ เจ้าหญิงกูนิง (เหลือง) ๒๒๐๐-๒๒๓๐
*****************
หมายเหตุ เดวิด เค. ไวอัต ให้ปีครองราชย์ของกษัตริย์ฯ ไว้แตกต่างกันดังนี้
๑.สุลต่านอิสมาเอลชาฮ์ ค.ศ.๑๕๐๐-๑๕๓๐ (พ.ศ.๒๐๔๓-๒๐๗๐)
๒.มาดฟาร์ชาฮ์ ค.ศ.๑๕๓๐-๑๕๖๓ (พ.ศ.๒๐๗๐-๒๑๐๖)
๓.มันดูร์ชาฮ์ ค.ศ.๑๕๖๓-๑๕๗๒ (พ.ศ.๒๑๐๖-๒๒๑๕)
๔.ปาเตะเซียม ค.ศ.๑๕๗๒-๑๕๗๓ (พ.ศ.๒๒๑๕-๒๒๑๖)
๕.บาฮดูร์ ค.ศ.๑๕๗๓-๑๕๘๔ (พ.ศ.๒๒๑๖-๒๑๒๗)
๖.รายาฮียา ค.ศ.๑๕๘๔-๑๖๑๖ (พ.ศ.๒๑๒๗-๒๑๕๙)
๗.รายาบีรู ค.ศ.๑๖๑๖-๑๖๒๓ (พ.ศ.๒๑๕๙-๒๑๖๖)
๘.รายาอูงู ค.ศ.๑๖๒๓-๑๖๓๕ (พ.ศ.๒๑๖๖-๒๑๗๘)
๙.รายากูนิง ค.ศ.๑๖๓๕-๑๖๘๖ (พ.ศ.๒๑๗๘-๒๒๒๙)
ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๒๓๐ เจ้าหญิง กูนิง ก็ได้ สิ้นพระชนม์ ลง เนื่องจาก ไม่มี ผู้สืบ เชื้อสาย ราชวงศ์ โกตา มหลิฆัย มุขมนตรี เมือง ปัตตานี ต่างก็มี มติ ยก อาลงบาตง บุตรบุญธรรม ของ เจ้าหญิง เป็นเจ้าเมือง ปัตตานี คนต่อมา
สยาเราะห์ เมืองปัตตานี กล่าวว่า หลังจาก อาลงบาตง ถึงแก่กรรมแล้ว พระเจ้า กรุงสยาม ได้แต่งตั้ง รายา บากา ชาวบ้าน ตาโละ (อำเภอ ยะหริ่ง) มาเป็น เจ้าเมือง ปัตตานี อยู่ชั่ว ระยะหนึ่ง ก็ถึง แก่กรรม รายามัส จากเมือง กลันตัน ก็ได้รับ การแต่งตั้ง ให้มา เป็นเจ้าเมือง ปัตตานี มีธิดา ชื่อ มาสจายัน ได้ปกครอง เมืองปัตตานี สืบต่อมา
เมื่อนาง มาสจายัน ถึงแก่กรรม มุขมนตรี เมือง จึง แต่งตั้ง ให้ ลองยุนุส ซึ่ง สืบเชื้อสาย มาจาก อาลงบาตง เจ้าเมือง ปัตตานี คนก่อน ขึ้นเป็น เจ้าเมือง ปัตตานี
ลองยุนุส มีพี่น้อง รวม ๓ คน แต่ต่าง มารดา กัน คือ ระตูปกาลัน เจ้าเมือง สายบุรี ระตูปูยุด และ อาลงตารับ ลองยุนุส ได้สร้าง มัสยิด ขึ้น หลังหนึ่ง คือ มัสยิดร้าง ที่บ้านกรือเซะ ในปัจจุบัน บ้างก็เรียก มัสยิด นี้ว่า มัสยิด ปิตูกรือบัน ขณะที่ กำลังสร้าง มัสยิด จวนจะเสร็จ ระตู ปะกาลัน เจ้าเมืองสาย ผู้น้อง ได้ก่อการ กบฏขึ้น ลองยุนุส ได้นำ กองทัพ ไปปราบ พวกกบฏ และได้เสีย ชีวิตลง ด้วยเหตุนี้ มัสยิด ปินตูกรือบัน จึงถูก ทอดทิ้ง มิได้ มีการ สร้างต่อเติม เนื่องจาก นายช่าง ผู้สร้าง ก็ได้ หาย สาปสูญ ไปพร้อม กับ สงคราม กลางเมือง ในคราวนั้น
หนังสือ ประชุม พงศาวดาร ภาค ๓ พงศาวดาร เมือง ปัตตานี และ หนังสือ กรียาอัน มลายู - ปัตตานี ว่า มัสยิด หลังนี้ ตนกู สุหลง เป็นผู้สร้าง ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๕๙-๒๓๗๕ (ซึ่งอยู่ ใน รัชสมัย ของ สมเด็จ พระนั่งเกล้าฯ) ระบุ เหตุ ที่สร้าง มัสยิด ไม่สำเร็จ ว่า เนื่องจาก ถูก อสุนิบาตถึง ๓ ครั้ง ทำให้ ผู้ก่อสร้าง หวาดกลัว ไม่กล้า ทำการ ก่อสร้าง ต่อเติม ทิ้งไว้ เป็น โบราณ สถาน สืบต่อ กันมา จนกระทั่ง ปี พ.ศ.๒๕๐๐ รัฐบาล มอบหมาย ให้ กรมศิลปากร ส่งช่าง มาทำการ บูรณะ ซ่อมแซม รักษาไว้ เป็นสมบัติ ทางประวัติศาสตร์ ของชาติ สืบไป
หาก สังเกต จากวัสดุ ที่ใช้ เป็น โครงสร้าง อาคาร หลังนี้ จะเห็นได้ว่า ส่วนที่ เป็นไม้ เช่น คาน ไม่ปรากฏ ร่องรอย ของการ ถูก เผาไหม้ และ ผนัง ของ อาคาร ก็มิได้ มีรอย แตกร้าว อันเนื่อง มาจาก แรง ของ อสุนิบาต เลย แม้แต่น้อย
อนึ่ง ความสูง ของ มัสยิด วัดจากพื้น ถึง คานเพียง ๖.๕๐ เมตร อยู่ใน ท่ามกลาง แมกไม้ จึงไม่น่า จะเป็นสื่อ ให้เกิด ฟ้าผ่า ขึ้นได้ ผู้เขียน เชื่อว่า สาเหตุ ที่ มัสยิด ก่อสร้าง ไม่สำเร็จ คงเนื่อง มาจาก สงคราม กลางเมือง มากกว่า คือ ทั้งผู้สร้าง (ลองยุนุส) และ นายช่าง คงจะ เสีย ชีวิต ไปใน การรบ ครั้งนี้ นั้น มากกว่า หาใช่ เกิดจาก อาถรรพ์ และ คำสาป ของ เจ้าแม่ ลิ้มกอเหนี่ยว ตามที่ พงศาวดาร เมือง ปัตตานีกล่าว
ประวัติ เมือง ปัตตานี ฉบับ ของนาย หวันหะซัน ระบุปี ที่สุลต่าน ลองยูนุส เสียชีวิต ไว้ว่า "วันศุกร์ ๑๗ ค่ำ ปีฮิจเราะฮ์ ๑๑๔๒" (ปีฮิจเราะฮ์นี้ ยังไม่มี ข้อมูล อื่นๆ นำมา วิเคราะห์ ว่า ถูกต้อง หรือไม่ เพราะเมือง ปัตตานี สมัยนี้ มีแต่ การ จลาจล แย่งชิง ตำแหน่ง เจ้าเมือง กัน สับสน วุ่นวาย ประวัติ เมือง ปัตตานี แต่ละ ฉบับ กล่าวขัดแย้งกัน จึงยาก แก่การ เชื่อถือได้ เช่น ฉบับ อักษร ยาวี ของ D.K.Wyatt-A.teeuw เป็นต้น มี ข้อความ แตกต่าง กับ ฉบับอื่น มาก เป็นพิเศษ จึงมิ สามารถ กำหนดปี การปกครอง เมือง ปัตตานี ของ เจ้าเมือง สมัยนี้ ได้ถูกต้อง เช่น ของ กษัตริย์ ราชวงศ์ โกตา มหลิฆัย) ตรงกับปี พุทธศักราช ๒๒๖๕ ดังนั้น มัสยิด กรือเซะ หรือ มัสยิด ปิตูกรือบัน จึงมี อายุ ไม่น้อยกว่า ๓๖๕ ปีแล้ว
หลังจาก สุลต่าน ลองยุนุส ถึงแก่กรรม ประวัติ เมืองปัตตานี กล่าวต่อ ไปว่า "บ้านเมือง ไม่มี ความ ปกติสุข เกิดการตี ชิง ปล้นสะดม กันมิขาด" ผู้ที่ ได้รับ ตำแหน่ง เจ้าเมือง คนต่อมา คือ ระตู จาระกัน และ ระตู ปุยุด เป็นคนถัดมา ในสมัย ที่ระตู ปุยุด เป็นเจ้าเมือง ปัตตานี ประวัติ เมือง ปัตตานี ว่า ได้ย้าย ที่ตั้งเมือง ปัตตานี ไปตั้งอยู่ ณ บ้านปุยุด ชั่วระยะหนึ่ง ปัจจุบัน ยังคง มี ซาก กำแพงดิน และ ไม่ไผ่ ปลูกไว้ บนเนิน เป็นค่าย คูเมือง ปรากฏ อยู่
เมื่อ ระตู ปุยุด ถึงแก่กรรม ลง ชาวบ้าน ดูวา (อยู่ในเขต ท้องที่ อำเภอ มายอ) ได้สถาปนา ตน ขึ้นเป็น สุลต่าน มีนามว่า สุลต่าน อาหะหมัด ขึ้นครอง เมืองปัตตานี เช่นเดียวกับ เมือง นครศรี ธรรมราช ปลัดเมือง (หนู) ก็ได้ตั้งตน เป็นเจ้า ผู้ครอง นครฯ ทั้งนี้ เพราะ กรุงศรี อยุธยา เสียแก่พม่า ไร้กษัตริย์ ปกครอง หัวเมืองต่างๆ ในปักษ์ใต้ พากัน ตั้งตน เป็น อิสระ หมด
ครั้นเมื่อ พระเจ้า ตากสิน ตั้งกรุง ธนบุรี ขึ้น ก็ได้ ยกกองทัพ มา ปราบก๊ก เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช ได้หลบหนี มาอยู่ ในเมือง ปัตตานี พระเจ้า ตากสิน ส่ง พระยา จักรี มา เจรจา ขอให้ สุลต่าน อาหะหมัด จับตัว เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช ให้แก่ พระองค์ สุลต่าน อาหะหมัด ก็ยอม ส่งตัว เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช และ เจ้าเมือง สงขลา ให้แก่ พระเจ้า ตากสิน โดยดี แต่เงิน ๒๐,๐๐๐ เหรียญ ที่ พระเจ้า ตากสิน ขอยืม จาก เจ้าเมือง ปัตตานีนั้น สุลต่าน อาหะหมัด ได้ตอบ แสดง เหตุ ขัดข้อง ไปว่า สภาวะ การเงิน ในพระคลัง ของเมือง ปัตตานี ก็อยู่ ในฐานะ ขาดแคลน ไม่น้อย ไปกว่า กรุงธนบุรี จึงไม่สามารถ จะหา มาถวายได้ ตามพระราชประสงค์
ขณะนั้น พระเจ้า ตากสิน ทรงติด ราชการ สงคราม ที่จะ ปราบปราม ก๊กเจ้าพระฝาง ซึ่งเป็นก๊ก ที่มี กำลัง เข้มแข็ง ผู้คน เคารพ นับถือ เป็นอันมาก ให้เสร็จสิ้น เสียก่อน จึงไม่มี พระราชประสงค์ ที่จะ ติดตาม ไปยึด เอาหัวเมือง ประเทศราช กลับคืนมา
เมืองปัตตานีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ :
ใน สมัย พระบาท สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระเจ้าปะดุง กษัตริย์พม่า ได้ส่งทหาร เข้ามาตีหัวเมืองภาคใต้ ทัพเรือ ของ พม่า ตีได้ เมือง ตะทั่วทุ่ง ตะกั่วป่า แต่ ไม่สามารถ ยึดเอา เมืองถลาง เพราะ คุณหญิงจันทร์ ภรรยา พระถลาง และ นางสาวมุก น้องสาว ได้เกณฑ์ กรมการเมือง ออก ต่อสู้ ป้องกัน เมือง ไว้ได้
ทางบก พม่า ยก เข้าตี ได้เมือง กระบุรี ระนอง ชุมพร แล้วเลย มาตี เมือง นครศรี ธรรมราช ได้ ขณะที่ กองทัพ พม่า จะยก ไปตี เมือง พัทลุง และ สงขลา สมเด็จ พระบวร ราชเจ้า มหา สุรสิงหนาท ซึ่งเสร็จ จากการ รบกับ พม่า ที่เมือง กาญจนบุรี ก็เสด็จ นำ กองทัพ มาช่วยเหลือ หัวเมือง ภาคใต้ ที่ถูก พม่า ยึดไว้ กลับคืน ทรงดำริ เห็นว่า หัวเมือง ประเทศราช ของไทย มีเมือง ปัตตานี ไทรบุรี คิดจะ ตั้งตน เป็น อิสระ ไม่ยอม มาขึ้น กับไทย จึงส่ง กองทัพ หน้า ออกไป ตีเมือง ปัตตานี ได้จาก สุลต่าน อาหะหมัด ในปี พ.ศ.๒๓๒๙ ส่วนเมือง ไทรบุรี ตรังกานู และ กลันตัน เมื่อ ทราบข่าว เมือง ปัตตานี พ่ายแพ้ แก่ กองทัพ ไทย แล้ว ก็มี ความ หวาดกลัว ว่า จะถูก กองทัพ ไทย ยกไป โจมตี จึง ได้ส่ง ทูต นำ เครื่องราช บรรณาการ ดอกไม้ ทองเงิน มาถวาย สมเด็จ พระบวร ราชเจ้า มหา สุรสิงนาท ยอมขึ้น กับ ราชอาณาจักร ไทย เช่นเดิม และ ทรงแต่งตั้ง ให้ ตนกู ลัมมิเด็น ขึ้นเป็น เจ้าเมือง ปัตตานี หนังสือ กรียาอัน มลายู-ปัตตานี กล่าวว่า ตนกูลัมมิเด็น ได้รวบรวม ผู้คน อพยพ เข้าไป ตั้ง ศูนย์กลาง ปกครอง เมือง ปัตตานี อยู่ใน บริเวณ เมืองโบราณ ที่บ้าน ประวัน อำเภอยะรัง และ มอบหมาย ให้ ระตู ปะกาลัน เป็นพนักงาน ด่านภาษี อยู่ที่ ตำบล ตันหยงลุโละ ท้องที่ อำเภอเมือง ปัตตานี ด่านนี้ เพิ่งจะเลิก กิจการไป ใน รัชสมัย สมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว นี้เอง (ดู ทำเนียบ ข้าราชการ กระทรวง มหาดไทย ปี พ.ศ.๒๔๕๗)
ตวนกู ลัมมิเด็น ได้รับ พระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ ดำรง ตำแหน่ง สุลต่าน เมือง ปัตตานี ได้ไม่นาน ก็ส่ง ทูต ชื่อ "นาคุดาสุง" ถือสาสน์ พร้อม เครื่องราช บรรณาการ ไป เกลี้ยกล่อม องค์เชียงสือ กษัตริย์ญวน ขอความ ร่วมมือ ให้นำ กองทัพ ไปตี กรุงเทพฯ แต่ องค์เชียงสือ ยังสำนึก ใน พระมหา กรุณาธิคุณ ของ สมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าฯ ซึ่งเคย ชุบเลี้ยง อุปถัมภ์ องค์เชียงสือ และ มารดา ในยาม ที่ หลบหนี พวกกบฏ ไตเซิน เข้ามา พึ่งพา พระบรม โพธิสมภาร อยู่ใน กรุงเทพฯ และ ทั้งยังทรง สนับสนุน เกื้อกูล ให้อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ใช้กอบกู้ เอกราช บัลลังก์ กลับคืน จึงมีสาสน์ มากราบทูล ให้สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้าฯ ทรงทราบ ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๓๓๔ จึงโปรดเกล้า ให้ พระยา กลาโหม ราชเสนา เป็นแม่ทัพเรือ ยกไปตี เมือง ปัตตานี จับตนกู ลัมมิเด็น ได้ ทรงให้นำ เอาตัว มากักกัน ไว้ใน กรุงเทพฯ
พงศาวดาร เมืองสงขลา กล่าวถึง เหตุการณ์ ในครั้งนี้ ว่า "ปีกุนตรีศก ศักราช ๑๑๕๓ (พ.ศ.๒๓๓๔) โต๊ะสาเหย็ด (ไซยิด) คบคิด กับ พระยา ตานี ยกกองทัพ ไปตี เมือง สงขลา พระยา สงขลา ขอกำลัง ทัพหลวง จากกรุงเทพฯ และ กำลัง จาก กองทัพ เมือง นครศรี ธรรมราช มาช่วยเหลือ แต่ก่อน ที่ กองทัพ หลวง จาก พระนคร ยกไปถึง เมือง สงขลา เพียง ๔ วัน กองทัพ เมือง สงขลา และ เมือง นครศรี ธรรมราช ก็สามารถ ตี กองทัพ พระยา ตานี ที่มา ตั้งค่าย คูล้อมเมือง สงขลา แตกทัพ กลับไป โต๊ะสาเหย็ด (ไซยิด) ถูกปืน ตาย ขณะ เสก น้ำมนต์ ประพรม ประตู ค่าย"
หลังจากการ ปราบปราม กบฏ เมือง ปัตตานี ครั้งนี้ พระบาท สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้าฯ ทรง โปรดเกล้าฯ พระราชทาน บำเหน็จ ความชอบ ให้เลื่อน พระยา สงขลา (บุญฮุย) ขึ้นเป็น เจ้าพระยา อินคีรี สมุทร สงคราม รามภักดีฯ ให้ยก เมือง สงขลา ขึ้นเป็น เมืองชั้นเอก ขึ้นตรง กับกรุงเทพ มหานครฯ และมอบ ให้เจ้าเมือง สงขลา เป็นผู้ ควบคุม ดูแล เมือง ปัตตานี เมืองตรังกานู และกลันตัน
ข้อความ ใน พงศาวดาร เมืองสงขลา มิได้ กล่าวถึง การแต่งตั้ง ผู้ใด เป็นผู้ ปกครอง เมือง ปัตตานี หลังจาก กบฏ ตวนกู ลัมมิเด็น แต่ เรื่องราว การแต่งตั้ง ผู้ครอง เมือง ปัตตานี ไปปรากฏ เป็นหลักฐาน อยู่ใน หนังสือ กรียาอัน มลายู-ปัตตานี ของ อิบรอฮิม ซุกรี ว่า พระยา กลาโหม ราชเสนา ขอ พระราชทาน โปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้ง ระตู ปะกาลัน เป็นเจ้าเมือง ปัตตานี โดยมี คนสยาม ชื่อ "ลักษมณาดายัน" เป็นผู้ ควบคุม ดูแล (ทำหน้าที่ คล้ายกับ ยกกระบัตรเมือง)
ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๓๕๑ ระตู ปะกาลัน เกิดมี ความคิด ขัดแย้ง กับ ข้าราชการไทย (ลักษมณาดายัน) ซึ่ง ทำหน้าที่ ควบคุม ดูแล การบริหาร เมือง ปัตตานี อยู่ใน ขณะนั้น จนถึง กับยก กำลัง ไพร่พล เข้า ต่อสู้กัน เป็นเหตุ ให้ ข้าราชการไทย ซึ่งมี กำลัง น้อยกว่า ต้อง หลบหนี ไป รายงาน พฤติกรรม ของ ระตู ปะกาลัน ต่อ เจ้าเมือง สงขลา
เจ้าพระยา อินทคีรี ศรีสมุทร สงคราม รามภักดี อภิริยะ ปรากรม พาหู (บุญฮุย) เจ้าเมือง สงขลา ระดม กำลัง ทหาร จาก เจ้าเมือง จะนะ เมืองพัทลุง และ เมืองสงขลา มอบให้ หลวงนายฤทธิ์ (เถี้ยนจ๋ง) เป็นแม่ทัพ และให้ นายขวัญซ้าย บุตรชาย พระมหา นุภาพ ปราบ สงคราม (เค่ง) เจ้าเมือง จะนะ เป็นกอง ทะลวงหน้า บุก จู่โจม ตีเมือง ปัตตานี ได้ ระตู ปะกาลัน หลบหนี ออกจากเมือง นายขวัญซ้าย นำทหาร ติดตาม ไปจนถึง เขตแดน เมืองเประ กับ เมืองรามันห์ และได้ ยิง ต่อสู้ กันจน กระทั่ง ระตู ปะกาลัน เสียชีวิต
จาก เหตุการณ์ ที่ ตนกู ลัมมิเด็น และ ระตู ปะกาลัน ก่อการ กบฏ ในครั้งนั้น พระบาท สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้า จุฬาโลก ทรง พระราช ดำริ เห็นว่า เมือง ปัตตานี มี กำลัง ผู้คน เป็น ปึกแผ่น แน่นหนา ยาก แก่การ ปกครอง ได้ทั่วถึง จึงมี พระบรม ราโชบาย ให้แยก เมือง ปัตตานี ออกเป็น เจ็ด หัวเมือง คือ เมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง ยะลา รามันห์ ระแงะ และ เมืองสาย และ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้ นายขวัญซ้าย มหาดเล็ก เป็นผู้ว่า ราชการ เมือง ปัตตานี เป็นคนแรก ในปี พ.ศ.๓๒๕๑
เรื่อง ของปี ที่แยก เมือง ปัตตานี ออกเป็น เจ็ด หัวเมือง นี้ ยังมีการ เข้าใจ ไขว้เขว กันอยู่ พงศาวดาร เมืองปัตตานี ที่ พระยา สงขลา แต่ง กล่าวว่า ได้ทำการ แยกในปี พ.ศ.๒๓๒๙ หลังจาก สมเด็จ พระบวร ราชเจ้า มหา สุรสีหนาท ตีเมือง ปัตตานี ได้
สมเด็จ กรมพระยา ดำรง ราชา นุภาพ ทรง อธิบาย เรื่องการ แต่งตั้ง นายขวัญซ้าย ไว้ใน คำนำ หนังสือ ประชุม พงศาวดาร ภาค ๓ ว่า ปลัด จะนะ (ขวัญซ้าย) ได้รับการ แต่งตั้ง เป็นผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี ในปี พ.ศ.๒๓๓๔ แต่เมื่อ พิจารณา จาก ชีว ประวัติ สังเขป ของ นายขวัญซ้าย ก็ว่า ปีจุลศักราช ๑๑๕๕ (พ.ศ.๒๓๓๖) พระมหานุภาพ ปราบสงคราม ผู้ว่า ราชการ เมืองจะนะ บิดา ของ นายขวัญซ้าย ได้นำ นายขวัญซ้าย เข้า ถวายตัว เป็น มหาดเล็ก ในพระบาท สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้าฯ รับราชการ ฉลอง พระยุคลบาท อยู่ใน กรุงเทพ มหานคร
พงศาวดาร เมืองสงขลา ก็ กล่าวไว้ เช่นเดียว กันว่า ได้ ทำการ แยกเมือง ปัตตานี หลังจาก ปราบ กบฏ ระตู ปะกาลัน ในปี พ.ศ.๒๓๕๑ ความว่า
"ครั้งนั้น ดาตู ปักหลัน เจ้าเมือง ยิริง คิดขบถ เจ้าพระยา พลเทพ จัดให้ กองทัพ เมืองพัทลุง เมืองสงขลา กับ กองทัพหลวง ให้ หลวงนายฤทธิ์ เป็นแม่ทัพ ยกออกไป ตีเมือง ยิริง หลวงนายฤทธิ์ ยกกองทัพ ออกไป ตีทัพ ดาตู ปักหลัน เมือง ยิริง ถึง ตะลุมบอน จับตัว ดาตู ได้ จึงได้ แยกเมือง ตานี ออกเป็น ๗ เมือง ตาม พระบรม ราชา นุญาต"
นอกจากนี้ ยังมี หลักฐาน การส่ง เครื่องราช บรรณาการ ของหัวเมืองทั้ง ๗ ที่ เจ้าพระยา อัคร มหา เสนา บดี มีหนังสือ ถึง พระยา ตรังกานู พระยา หนองจิก ในปี จ.ศ.๑๑๗๓ (พ.ศ.๒๓๕๔) ความว่า
"เมืองตรังกานู เมืองหนองจิก เคยได้ พำนัก อาศัย เมืองสงขลา มาก่อน ฉันใด ถึง พระยา สงขลา (บุญฮุย) ถึงแก่กรรม แล้ว พระยา วิเศษ สุนทร (เถี้ยนจ๋ง) ออกมา ว่าราชการ อยู่ ถ้าถึง งวดปี เมืองตรังกานู เมืองหนองจิก ส่ง ดอกไม้ ทองเงิน เครื่อง บรรณาการ เข้าไป ทูลเกล้าฯ ถวาย ก็ให้ส่ง ไปเมือง สงขลา ให้พระยา สงขลา จัดแจง แต่ง กรมการ เอา ดอกไม้ ทองเงิน เครื่อง บรรณาการ ไปทูลเกล้าฯ ถวาย อย่าง แต่ก่อน นั้น" (หมู่ จดหมาย เหตุ กรุง รัตน โกสินทร์ ร ๒ เลขที่ ๒/๑๑ จศ ๑๑๗๓ หนังสือ เจ้าพระยา อรรค มหา เสนา บดี ถึง พระยา ตรังกานู พระยา หนองจิก)
ธรรมเนียม การส่ง ดอกไม้ ทองเงิน หัวเมือง ที่อยู่ ภายใต้ การควบคุม ของเมือง สงขลา ได้แก่ เมืองปัตตานี ยะลารามันห์ ระแงะ ยะหริ่ง สาย หนองจิก กลันตัน และ ตรังกานู จะต้องจัด ดอกไม้ ทองเงิน ตามขนาด (ที่กำหนด แต่ละเมือง) ส่งผ่าน เจ้าเมือง สงขลา ตรวจสอบ และ แต่งตั้ง กรมการเมือง เป็นผู้นำ เข้าไป ทูลเกล้า ถวาย ทุกๆ ๓ ปี จากหนังสือ เจ้าพระยา อัคร มหา เสนา บดี เตือน พระยา ตรังกานู และ พระยา หนองจิก ดังกล่าว แสดงว่า อย่างน้อย เมืองหนองจิก เมืองตรังกานู ก็เคยส่ง ดอกไม้ ทองเงิน มาแล้ว ครั้งหนึ่ง คือ ในปี พ.ศ.๒๓๕๑ ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๓๕๔ ซึ่งเป็นปี ที่ครบรอบ แห่งการส่ง ดอกไม้ เงินทอง อีก เจ้าพระยา อรรค มหา เสนา บดี จึงมี หนังสือ เตือนมา เร่งรัด หัวเมือง ทั้งสอง
จาก เอกสาร ฉบับ นี้ และ พงศาวดาร เมือง สงขลา ปัญหา การแบ่งแยก เมือง ปัตตานี ออกเป็น ๗ หัวเมือง ปีใด จึงน่า จะยุติ ได้ว่า เมืองปัตตานี ถูกแบ่งแยก ออกเป็น ๗ หัวเมือง ในปี พ.ศ.๒๓๕๑ มิใช่ ปี พ.ศ.๒๓๒๙ หรือ ปี พ.ศ.๒๓๓๔ อันเป็น ปีก่อน สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้า จุฬาโลก สวรรคต เพียง ๑ ปี
นายขวัญซ้าย ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมือง อยู่ได้ ๘ ปี ก็ถึงแก่กรรม สมเด็จ พระพุทธ เลิศหล้า นภาลัย จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้นายพ่าย น้องชาย นายขวัญซ้าย ขึ้นเป็น ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี คนต่อมา
ในสมัย ที่ นายพ่าย ปกครอง เมือง ปัตตานี "พวกสาเหย็ด (ไซยิด) และ พวกรัตนาวง ได้คบคิด กันเข้า ปล้นบ้าน พระยา ตานี (พ่าย) และ บ้าน หลวงสวัสดิ์ ภักดี (ยิ้มซ้าย) ผู้ช่วย ราชการ เมืองตานี" พระยา ตานี พ่าย ได้ทำการ ต่อสู้ ป้องกันเมือง ไว้ได้ แล้ว รายงาน เหตุการณ์ ไปยัง เมือง สงขลาทราบ พระยา สงขลา (เถี้ยนจ๋ง) มีหนังสือ บอกเข้ามา ยัง กรุงเทพฯ สมเด็จ พระพุทธ เลิศหล้า นภาลัย จึง โปรดเกล้าฯ ให้พระยา อภัย สงคราม กับ พระยา สงขลา ออกไป ช่วยเหลือ พระยาตานี (พ่าย) หาทาง ระงับ เหตุการณ์ และ เห็นว่า วิธี ที่ จะช่วย ให้เกิด ความ สงบ สุข ขึ้นใน หัวเมือง ทั้ง ๗ ได้ดี ที่สุด ในขณะนั้น คือ เลือกสรร บุคคล ในท้องถิ่น ที่มี ความสามารถ ขึ้นมา เป็น ผู้ว่า ราชการ เมือง จึงนำความ ขึ้นกราบ บังคมทูล พระบาท สมเด็จ พระพุทธ เลิศหล้า นภาลัย ให้ทรง แต่งตั้ง
ต่วนสุหลง เป็นผู้ว่าราชการเมืองปัตตานี 
นายพ่าย เป็นผู้ว่าราชการเมืองยะหริ่ง(ยิริง) 
ต่วนสหนิ(หนิ) เป็นผู้ว่าราชการเมืองหนองจิก 
ต่วนมาโซ เป็นผู้ว่าราชการเมืองรามันห์ 
ต่วนหนิเดะ เป็นผู้ว่าราชการเมืองสาย 
ต่วนยาลอ เป็นผู้ว่าราชการเมืองยะลา
ปี พ.ศ.๒๓๖๐ ต่วนยาลอ ผู้ว่า ราชการ เมืองยะลา และ ต่วนมาโซ ผู้ว่า ราชการ เมืองรามันห์ และ ต่วนสหนิ ผู้ว่า ราชการ เมืองหนองจิก ถึงแก่กรรม พระยา วิเศษ สุนทร (เถี้ยนจ๋ง) ผู้สำเร็จ ราชการ เมืองสงขลา จึงแต่งตั้งให้
ต่วนบางกอก เป็นผู้ว่าราชการเมืองยะลา 
ต่วนกุโน เป็นผู้ว่าราชการเมืองรามันห์ 
ต่วนกะจิ น้องชายต่วนสุหลง (เจ้าเมืองปัตตานี) เป็นผู้ว่าราชการเมืองหนองจิก
ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๓๗๔ เกิด ทุพภิกขภัย ขึ้นใน รัฐไทรบุรี ราษฎร ประสพ ความ อดอยาก แร้นแค้น ทำให้ ผู้คน ในเมือง ไทรบุรี เกิดความ ระส่ำ ระสาย ตนกูเด (บุตรชาย ตนกู รายา พี่ชาย เจ้าเมือง พระยา ไทรบุรี (ปะแงรัน) ซึ่งเอาใจ ออกห่าง ไปเข้า กับพม่า) ได้เข้ามา เกลี้ยกล่อม และ ปลุกระดม ชาวเมือง ไทรบุรี ก่อการ จลาจล ขึ้น แล้วยึด เอาเมือง ไทรบุรี จาก พระยา ภักดี บริรักษ์ (แสง) บุตรของ เจ้าพระยา นครศรี ธรรมราช ไว้ได้
การกบฏ ในครั้งนี้ ศาสตราจารย์ ฮอลล์ กล่าวว่า "ได้มีการ วางแผน กันที่ ปีนัง ต่อหน้า ต่อตา เจ้าหน้าที่ อังกฤษ ทีเดียว" การ แทรกแซง ของ อังกฤษ นี้ สืบเนื่อง มาจาก ข้าราชการ และ พ่อค้า ชาว อังกฤษ ในปีนัง เห็นว่า การที่ รัฐบาลไทย เข้ายึดครอง เมือง ไทรบุรีไว้ จะทำ ให้ไทย เข้ามามี อำนาจ ครอบงำ เหนือ รัฐต่างๆ ในมลายู เป็นการ ขัดขวาง ผลประโยชน์ ของพวกตน ในอนาคต ทั้งที่ บริษัท อีสต์ อินเดีย ก็ออก คำสั่ง ให้ ยึด นโยบาย ไม่เข้า แทรกแซง ต่อ กิจการ ของรัฐ มลายู แต่ ชาว อังกฤษ ในปีนัง ก็ พยายาม ฝ่าฝืน
พระยา ภักดี บริรักษ์ (แสง) ได้ อพยพ ผู้คน ถอยไป ตั้งรับ พวก กบฏ อยู่ที่เมือง พัทลุง และ รายงาน การเสีย เมือง ไทรบุรี ไปให้ เจ้าพระยา นคร (น้อย) ทราบ ขณะนั้น พระสุรินทร์ ข้าหลวง ในกรม พระราชวัง บวร สถาน มงคล ออกมา ปฏิบัติ ราชการ อยู่ที่ เมือง นครศรี ธรรมราช เจ้าพระยา นครฯ จึงให้ พระสุรินทร์ ออกไป เกณฑ์ กองทัพ เมืองสงขลา พระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋ง) จึง มอบหมาย ให้ พระยา สุรินทร์ นำคำสั่ง ไปยัง หัวเมืองทั้ง ๗ ให้เกณฑ์ ไพร่พล มาสมทบ กับ ทหาร เมืองสงขลา เพื่อยก ไปตี เอาเมือง ไทรบุรีคืน
เมื่อ ชาวเมือง ต่างๆ ทราบว่า ถูกเกณฑ์ ไปทำการรบ กับเมือง ไทรบุรี ก็พากัน หลบหนี พระสุรินทร์ จึง ลงโทษ แก่ กรมการเมือง ด้วยการ ปรับไหม เรียก เป็นเงิน - ทอง เป็นเหตุให้ เจ้าเมือง ต่างๆ (เว้น เจ้าเมืองยะหริ่ง สายบุรี) ไม่พอใจ จึงพากัน ฉวยโอกาส ทำการ ก่อกบฏ ขึ้นอีก
เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช และ เจ้าเมือง สงขลา จึงมี ใบบอก เข้าไป กรุงเทพฯ สมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว จึงโปรด ให้ เจ้าพระยา พระคลัง (ดิศ บุนนาค) ยก กองทัพ ออกไปช่วย กองทัพ เจ้าพระยา พระคลัง (ดิศ บุนนาค) เดินทาง ลงไป ถึงเมือง สงขลาเมื่อ วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๓๗๕ แต่ กองทัพ ของ เจ้าพระยา นครฯ ตีเมือง ไทรบุรี กลับคืน ได้แล้ว ตนกูเด็น ไม่สามารถ ลงเรือ หลบหนีทัน จึงได้ ฆ่าตัวตาย
ทาง หัวเมือง ทั้ง ๗ (เว้นเมืองยะหริ่ง) ที่ร่วมกัน ก่อกบฏ ตามเมือง ไทรบุรี นั้น เจ้าพระยา พระคลัง (ดิศ บุนนาค) แต่งตั้ง ให้ พระยา เพชรบุรี เป็นแม่ทัพ นำกำลัง ทหาร ไปช่วย เจ้าเมือง สงขลา ทำการ ปราบปราม
ต่วนสุหลง ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี ผู้นำ ในการ กบฏ เป็นพี่ชาย ของต่วนกะจิ ผู้ว่า ราชการ เมืองหนองจิก และ เป็นหลาน ของ หลง โมฮัมหมัด เจ้าเมือง กลันตัน (พงศาวดาร เมืองกลันตัน ว่า หลงโมฮัมหมัด เป็นบุตร คนโต ของพระยา บ้านชายทะเล หนังสือ กรียาอัน มลายู ปัตตานี ว่า หลงโมฮัมหมัด เป็นน้อง ต่วนสุหลง)
พระยา กลันตัน จึงให้ รายา มุดอ กำปง ลาโฮะ ตนกู บือซา และ รายา บาโก นำทหาร มาช่วย ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี
พระยา ตรังกานู ก็ได้ ส่ง ตนกู อิสเรส เจะบุลัน วันคามาน และเจ๊ะ อิสมาแอล เป็นแม่ทัพเรือ นำ กองทัพ เมือง ตรังกานู มาสมทบ กับเมือง กลันตัน ยกมาช่วย ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี (ต่วนสุหลง)
กองทัพ พระยา เพชรบุรี และ เจ้าเมือง สงขลา (เถี้ยนเส้ง) เข้าตี เมืองปัตตานี ทั้งทางบก และ ทางเรือ ต่วนสุหลง เห็นว่า กำลัง ทหาร ของ ตน สู้กับ กองทัพ กรุง และ กองทัพ เมืองสงขลา ไม่ได้ จึงอพยพ ครอบครัว หนีลงเรือ ไปอาศัย อยู่กับ พระยา กลันตัน พร้อมกับ ต่วนกูโน ผู้ว่า ราชการ เมืองรามันห์ ต่วนกะจิ ผู้ว่า ราชการ เมืองหนองจิก และนิดะ ผู้ว่า ราชการเมือง ระแงะ หนีไปทางบก กองทัพ เมือง สงขลา ติดตาม ไปทันกัน ที่บ้านยะรม (บ้านยะรม ปัจจุบัน อยู่ในเขต ท้องที่ อ.เบตง จ.ยะลา) พรมแดน เมืองเประ กับ เมืองรามันห์ ต่วนกะจิ ได้เสียชีวิต ในขณะที่ ต่อสู้กับ กองทหาร เมืองสงขลา แต่ พระยา ระแงะ ได้หลบหนี ไปยังเมือง เประ
ขณะที่ กองทัพไทย เตรียมกำลัง จะยกไป ตีเมือง กลันตัน พระยา กลันตัน ทราบข่าว เกิดความ หวาดกลัว จึงส่ง เจ๊ะยามา เจ๊ะหลง เป็นทูต มาเจรจา กับ พระยา เพชรบุรี ขอชดใช้ เงิน เป็นค่าเสียหาย ให้แก่ กองทัพไทย เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ เหรียญ และ ยอมส่งตัว ต่วนสุหลง ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี และ ต่วนกูโน ผู้ว่า ราชการ เมืองรามันห์ มามอบ ให้แก่ แม่ทัพไทย
ทางเมือง ตรังกานู เจ้าพระยา พระคลัง (ดิศ บุนนาค) มอบให้ พระราชวังสัน หลวงโกศาอิศหาก นำกำปั่นรบ ๘ ลำ ไปบังคับ ให้ พระยา ตรังกานู ส่งครอบครัว ชาวเมือง ปัตตานี และ บุคคล สำคัญ ที่มีส่วน ในการ ร่วมกับ พวกกบฏ มี มะหาหมุด ดามิด และ อะหะหมัด ที่หลบหนี มาอาศัย อยู่ใน เมืองตรังกานู พระยา ตรังกานู สำนึก ในความผิด จึงให้ ทหาร ควบคุม ครอบครัว ชาวเมือง ปัตตานี มามอบ ให้ สมเด็จ เจ้าพระยา พระคลัง (ดิศ บุนนาค)
หลังจากนั้น สมเด็จ เจ้าพระยา พระคลัง(ดิศ บุนนาค) ก็ได้ ประชุม ปรึกษา เจ้าเมือง สงขลา พระยาเพชรบุรี พิจารณา คัดเลือก บุคคล ที่มี ความชอบ ในการ ปราบ กบฏ ครั้งนี้ แต่งตั้ง ให้ ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมือง ที่ว่างลงคือ
๑. นายทองอยู่ เป็นผู้ว่าราชการเมืองปัตตานี 
๒. หลวงสวัสดิ์ภักดี (ยิ้มซ้าย) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองยะลา 
๓. หนิบอซู ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองระแงะ
ส่วนเมือง หนองจิก ไม่ปรากฏว่า แต่ง ผู้ใด ไป ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมือง ในระยะนั้น
ปีพุทธ ศักราช ๒๓๘๑ พระบาท สมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว จัด พระราชทาน พิธี ถวาย พระเพลิง พระบรมศพ สมเด็จ พระศรี สุลาไลย พระราช ชนนี พระพัน ปีหลวง ในงานนี้ เจ้าพระยา นคร (น้อย) พระยา สงขลา (เถี้ยนเส้ง) และ ผู้ว่า ราชการ เมืองทั้ง ๗ ได้ เข้ามา ร่วมถวาย เพลิงพระศพด้วย ตนกู มะหะหมัด ซาอัด ตนกู อับดุลย์เลาะห์ หลานชาย เจ้าพระยา ไทรบุรี (ปะแงรัน) ร่วมกับ หวัน มะลี หัวหน้า โจรสลัด ยกกำลัง เข้ามาตี เมืองไทรบุรี และ เมืองตรัง ไว้ได้ แล้วก็ยก กำลัง เข้ามา ล้อมเมือง สงขลา
พระบาท สมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว จึงทรง พระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้พระยานคร (น้อย) พระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) และ บรรดา ผู้ว่า ราชการ เมืองทั้ง ๗ รีบเดินทาง ออกไป ป้องกันเมือง และ โปรดให้ พระยา ศรีพิพัฒน์ (ทัด บุนนาค) ยกทัพกรุง ออกไปช่วย
ฝ่าย พวกกบฏ ได้ตีเมือง จะนะ แตก เอาไฟ จุดเผาเมือง และ ส่งคน มาตี ชิงสะเบียง อาหาร ในเมือง สตูล ไปจน หมดสิ้น แล้วยก กำลัง เข้ามา ตั้งค่าย คูรบ อยู่ที่ บ้าน บางกระดาน เขาเก้าเส้ง เขาลูกช้าง บ้านปักแรต บ้านน้ำกระจาย พระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) จัดให้ พระยา ไชยา พระยาสาย (ต่วนหนิดะ) พระยาตานี (ทองอยู่) พระยายะหริ่ง (พ่าย) หลวงไชยสุรินทร์ หลวงรายามุดา ขุนต่างตา นายช้าง มหาดเล็ก นำทหาร แยกย้าย กันเข้าตี ค่าย พวกบฏ (ซึ่ง ตั้งอยู่ ที่บ้าน บางกระดาน เขาเก้าเส้ง เขาลูกช้าง บ้านปลักแรด บ้านน้ำกระจาย) กองทัพ เมือง สงขลา นำเอา ปืนจ่ารงค์ ยิงถูก หอรบ ฝ่ายกบฏ ทะลาย ลง ห้าหอ นำเอา หม้อดิน บรรจุ ดินปืน จุดไฟ ทิ้งเข้าไป เผาค่าย พวกกบฏ ตกใจ พากัน แตกหนี ไปทั้ง ๕ ค่าย
หลังจากนั้น กองทัพกรุง ชุดแรก ในความ บังคับ บัญชา ของ พระยา วิชิต ณรงค์ และ พระราชรินทร์ ก็ยกไป ถึงเมือง สงขลา ได้ออก ตาม ไล่จับ พวกกบฏ ที่ถอยหนี ได้ปืน คาบศิลา ๒ กระบอก ปืนมเลลา ๒ กระบอก หอก ๑๐ เล่ม และ จับตัว คนไทย (ที่ร่วมมือ กับพวกกบฏ) ได้อีก ๒ คน แขก ๒ คน (พระบาท สมเด็จ พระนั่งเกล้าฯ ทรงตรัส กับหมื่น จงสรสิทธิ ผู้กราบทูล ถวาย รายงานว่า "ได้นักหนา ทีเดียว ได้แต่ ของมัน ลืม ทิ้งอยู่ ที่ไหนนั่นเอง" และ อีกตอนหนึ่ง ว่า "ก็จับได้ คนป่วย คนง่อย ที่มัน ทิ้งอยู่ กลางทาง หนีไม่ทัน นั่นเอง") (ดู จดหมาย เหตุ หลวง อุดม สมบัติ)
ทางด้าน เมืองไทรบุรี กองทัพ ของ เจ้าพระยา นคร (น้อย) ตีเมือง ไทร ได้กลับคืน พวกกบฏ พากัน หลบหนี เข้าไป อาศัย อยู่ในเขต โปรวินซ์เวลสสลีย์ ในความปกครอง ของอังกฤษ ทหารไทย ไม่สามารถ ติดตาม เข้าไป ด้วยเกรง จะกระทบ ถึง สัมพันธ ไมตรี กับ ประเทศ อังกฤษ
ในการ ปราบกบฏ ตนกู มะหะหมัด ซาอัด ครั้งนี้ นายบุญเมน ชาวบ้าน ตัดหวาย เมืองจะนะ กับพวก มีความชอบ ด้วย ได้ ช่วยเหลือ ราชการ ระดม ผู้คน มาช่วย ป้องกัน บ้าน พระจะนะ (บัวแก้ว) ซึ่งไป ช่วยราชการ สงคราม อยู่ที่ เมืองสงขลา ให้รอดพ้น จาก พวกกบฏ นำไฟ เผา บ้านเรือน ไว้ได้ จึงได้ รับการ แต่งตั้ง ให้มา ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองหนองจิก ที่ยัง ว่างอยู่
ส่วน พระยา ตานี (ทองอยู่) นั้น เข้าใจว่า จะถึง แก่กรรม ลง หลังจาก ไปช่วย ราชการ ปราบกบฏ กลับมา เมืองปัตตานี แล้ว ไม่นาน เพราะ พงศาวดาร เมือง สงขลา กล่าวว่าในปี พ.ศ.๒๓๘๒ พระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) ได้แต่งตั้ง ให้ พระยา วิชิต ณรงค์ กับ นายแม่น มหาดเล็ก บุตรของ พระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋ง) เป็นผู้ รักษา ราชการ เมืองปัตตานี อยู่ชั่วคราว จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๓๘๓ จึงได้ แต่งตั้ง ให้ นิยุโซะ (หรือโต๊ะกี) เป็นผู้ว่า ราชการ เมืองคนต่อมา
ฝ่าย ข้างเมือง กลันตัน ตนกูสนิ (ปากแดง) ได้รับ การ แต่งตั้ง ให้เป็น เจ้าเมือง กลันตัน ตนกู ปะสา กับพวก มี ตนกูเงาะ พระยา บาโงย ตนกู หลงอาหมัด และบุตร ของ ตนกู ศรีปัตรา มหา รายา เกิดวิวาท กับ พระยา กลันตัน (ตนกูสนิ-ปากแดง) เนื่องจาก ตนกู ปะสา น้อยเนื้อ ต่ำใจ ว่า ตน และ พวก ได้ช่วยเหลือ สนับ สนุน ให้ ตนกูสนิ (ปากแดง) ให้ได้ เป็น เจ้าเมือง กลันตัน แต่ ตนกู สนิ กลับใช้ อำนาจ ยึดเอา ที่ดิน และ ไร่นา ของตน ไปครอบครอง จึงพากัน ซ่องสุม ผู้คนขึ้น เพื่อที่ จะสู้รบ ชิงที่ดิน กลับคืน
พระยา กลันตัน และ ตนกู ปะสา ต่างก็ ร้องเรียน กล่าวโทษ ซึ่งกัน และกัน ความ ทราบถึง พระบาท สมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว จึงทรง รับสั่ง ให้ พระยา ศรีพิพัฒน์ฯ และ เจ้าพระยา นคร (น้อย) ให้หาทาง ไกล่เกลี่ย ระงับ เหตุการณ์ ในเมือง กลันตัน ต่อมา พระยา กลันตัน (สนิปากแดง) ให้เจ๊ะยะปา เจ๊ะสุไลมาน ทำหนังสือ ขอกำลัง ทหาร จาก เจ้าพระยานคร (น้อย) ๒,๐๐๐ คน ให้ไป คุ้มครอง เมืองกลันตัน เจ้าพระยา นคร (น้อย) ให้นายเจ๊ะนุ นายสังข์ ทำหนังสือ ไปตักเตือน ตนกู ปะสา แทนที่ ตนกู ปะสา จะเชื่อฟัง กลับกล่าว ท้าทาย ว่า "อย่าว่า แต่มี หนังสือ เขียนด้วย น้ำหมึก มาห้ามเลย ถึงจะเขียน ด้วยน้ำทอง มาห้าม ก็ไม่ฟัง" แต่ได้ ส่งผู้แทน ขึ้นไป กราบเรียน พระยา ศรีพิพัฒน์ฯ ที่เมือง สงขลาว่า "การที่ จะให้ ฟัง บังคับ บัญชา พระยา กลันตัน นั้น เหลือสติ กำลังคิด เมื่อ พระยา กลันตัน จะได้ เป็น พระยา กลันตัน ตนกู ปะสา ก็ช่วย ว่ากล่าว จึงได้เป็น พระยา กลันตัน ตนกู ปะสา หาได้ ตำแหน่ง อะไรไม่ ครั้น พระยา กลันตัน ได้เป็น พระยา กลันตัน แล้ว ก็ทำการ ข่มเหง พี่น้อง จึงได้ ทะเลาะกัน การครั้งนี้ จะรบสู้กัน อย่างไร ก็เป็นสิทธิ ของ ตนกู ปะสา ทั้งสิ้น ถ้าเมตตา โปรดแล้ว ก็ขอ เอาแผ่นดิน บ้าน ตนกู ปะสา ฟากหนึ่ง ตั้งแต่ ปลายน้ำ ตลอดไป จด ปากน้ำ ให้เป็น ของ ตนกู ปะสา ทำราชการ ต่อไป ถ้า พระยา กลันตัน จะถวาย อย่างไร ตนกู ปะสา ก็จะ ถวายให้ เหมือนอย่าง พระยา กลันตัน" (ดู จดหมายเหตุ หลวง อุดมสมบัติ)
พระยา ศรีพิพัฒน์ (ทัด บุนนาค) เห็นว่า ตนกู ปะสา ยังดื้อดึง อยู่ จึงให้ พระยา ไชยา คุมพล ทหาร ๑ กอง ลงเรือรบ ไปนำ เอาตัว ตนกู ปะสา และ พระยา กลันตัน ขึ้นมา พบกับ พระยา ศรีพิพัฒน์ ที่เมืองสงขลา พระยา ศรีพิพัฒน์ฯ ว่ากล่าว ประนี ประนอม ให้คน ทั้งสอง เข้าใน กันแล้ว ก็ให้ กลับไป เมืองกลันตัน เหตุการณ์ จึงสงบ ไปชั่วคราว
ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๓๘๔ ตนกู ปะสา ได้เดินทาง เข้าไป กรุงเทพฯ กล่าวหา พระยา จางวาง และ ตนกู ศรีอินทรา ว่า ริบเอา เรือกสวน ไร่นา ของ ตนไป ฝ่าย พระยา กลันตัน ก็มี ใบบอก ฟ้อง ตนกู ปะสา เข้ามาว่า ตนกู ปะสา ส่งคน ไปชักชวน พระยา บาโงย และ พวก เมือง ตรังกานู เมืองลิงา ให้มาตี เมืองกลันตัน
สมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรง พระราช ดำริ เห็นว่า พระยา กลันตัน กับตนกู ปะสา ทะเลาะ วิวาท กันมา หลายครั้ง ไม่สามารถ ทำความเข้าใจ กันได้ หากจะให้ คงอยู่ ร่วมบ้านเมือง เดียวกัน ต่อไป อาจ ทำให้ เมือง กลันตัน เกิดการ จลาจลขึ้น ซึ่งจะ กระทบ กระเมือน ถึง ความ มั่นคง ของ บูรณภาพ แห่งดินแดน ในหัวเมืองทั้ง ๗ จึงโปรด ให้ถาม ตนกู ปะสา ว่า จะแต่งตั้ง ให้มา ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองหนองจิก จะยินดี รับ หรือไม่ ตนกู ปะสา ก็ยินยอมรับ จะกลับ ไปรับ ครอบครัว พามาอยู่ เมืองหนองจิก จึงโปรด ให้ พระยา ท้ายน้ำ เดินทาง ไปเมือง กลันตัน เพื่อช่วยเหลือ ในการ จัดพาหนะ นำบ่าวไพร่ ของ ตนกู ปะสา ให้มาอยู่ เมืองหนองจิก แต่ครั้น ตนกู ปะสา ลงไป เมือง กลันตัน ชักชวน พระยา บาโงย ตนกู หลงอาหมัด ให้อพยพ ลงไปอยู่ เมืองหนองจิก ด้วยกัน พระยา บาโงย และ ตนกู หลงอาหมัด ไม่เห็นด้วย ตนกู ปะสา จึงกลับใจ ไม่ยอม ลงไป เมืองหนองจิก ด้วยการ เสนอ เงินสินบน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ แก่ พระยา ท้ายน้ำ เพื่อ เจรจา หาทาง ให้ ตนกู ปะสา ได้รับ ตำแหน่ง เจ้าเมือง กลันตัน
พระยา ท้ายน้ำ จึงมี ใบบอก พร้อมด้วย หนังสือ ของ ตนกู ปะสา เข้ามา กรุงเทพฯ พระบาท สมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว "จึงโปรด ให้ พระนครฯ เกณฑ์ กองทัพ เมืองนครศรี ธรรมราช ๒,๐๐๐ คน และให้ พระเสน่หา มนตรี คุมลงไป สมทบ กับ กองทัพ เมืองสงขลา อีก ๒,๐๐๐ คน พระสุนทรรักษ์ (สังข์) เป็นหัวหน้า ยกลงไป ถึงเมือง กลันตัน" บังคับ ตนกู ปะสา ให้ลงมา ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองหนองจิก แทน นายบุญเมน ซึ่งถูก ปลดออก จากราชการ ตนกู ปะสา ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ หนองจิกอยู่เพียง ๓ ปี
ครั้นถึง พ.ศ.๒๓๘๘ พระยา ตานี (หนิยุโซะ หรือ โต๊ะกี) ถึงแก่กรรม พระบาท สมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทาน บรรดาศักดิ์ ให้ ตนกูปะสา เป็นพระยา วิชิต ภักดีศ รีรัตนา เขต ประเทศราช และ ให้ย้าย มา ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี แต่งตั้ง นายเกลี้ยง เป็น พระยา วิเชียร ภักดี ศรีสงคราม ให้ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองหนองจิก
ทางด้าน เมืองยะหริ่ง เมื่อ พระยา ยะหริ่ง (พ่าย) ถึงแก่กรรมลง โปรดให้ ย้าย พระยา ยะลา (ยิ้มซ้าย) มาเป็น ผู้ว่า ราชการ เมืองยะหริ่ง และ แต่งตั้ง นายเมืองบุตร พระยา ยะหริ่ง (พ่าย) ไปเป็น ผู้ว่า ราชการ เมืองยะลา พระยา ยะหริ่ง (ยิ้มซ้าย) เป็นผู้ว่า ราชการ อยู่จนถึง ปี พ.ศ.๒๓๙๖ ก็ได้ ถึงแก่กรรม ลง โปรดให้ พระยา จางวาง (สุลต่านเดวอ) ซึ่ง พระยา นครฯ ขอตัว ไปช่วย ราชการ อยู่เมือง นครศรี ธรรมราช มาเป็น ผู้ว่า ราชการ เมืองยะหริ่ง และแต่งตั้ง นายแตง (นายแตง (ตีมุง) เมื่ออยู่ ในวัยเยาว์ ได้ติดตาม ข้าราชการ ไทย ไปอยู่ กรุงเทพ มหานคร และได้ อุปสมบท เป็น พระภิกษุ มีตำแหน่ง เป็นสมุห์แตง แล้วลา อุปสมบท ออกมา รับราชการ ในสังกัด กรม พระราชวัง บวร สถาน มงคล) บุตร พระยา ตานี (หนิยุโซะ) ซึ่งเป็น ข้าราชการ ในกรม พระราชวัง บวร สถาน มงคล (สมเด็จ พระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัว) ออกมา เป็นปลัด เมืองยะหริ่ง พระยา จางวาง (สุลต่านเดวอ) ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการเมือง ยะหริ่ง ได้เพียง ปีเดียว ก็ถึง แก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน บรรดาศักดิ์ ให้นายแตง (ตีมุง) เป็น พระยา พิพิธ เสนา มาตยา ธิบดี ศรีสุรสงคราม และ ให้ ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองยะหริ่ง สืบแทน พระยา จางวาง (สุลต่านเดวอ) แต่งตั้ง หนิละไม เป็น พระยา สุริย สุนทร บวร ภักดี ศรีมหา รายา ปัตตา อับดุล วิบูลย์ เขตประเทศราช ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองสาย แทนนิดะ พระยา สายบุรี ที่ ถึงแก่กรรม แต่งตั้ง ต่วนติมุง เป็น พระยา รัตน ภักดี ศรี ราชบดินทร์ สุรินทร์ วังสา ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองรามันห์ แทน พระยา รามันห์ (ต่วนกุโน) แต่งตั้ง ตุวัน โหนะ เป็น พระยา ภูผา ภักดี ศรีสุวรรณ ประเทศ วิเศษ วังสา แทน พระยา ระแงะ (ตุวันบอซู) ที่ ถึงแก่กรรม นายเมือง ผู้ว่า ราชการ เมืองยะลา ล้มป่วย ถึงกับ ทุพลภาพ ว่าราชการ ไม่ได้ พระยา สงขลา (เถี้ยนเส้ง) จึงปลด ออกจาก ราชการ แต่งตั้ง ให้ ตุวันปุเต๊ะ ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองยะลา แทน
พ.ศ.๒๓๙๙ พระยา วิชิตภักดีฯ (ตนกูปะสา) ถึงแก่กรรม สมเด็จ พระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ต่วนกูปุเต๊ะ บุตรชาย ตนกูปะสา เป็น พระยา วิชิต ภักดี ศรีรัตนา เขต ประเทศราช ดำรง ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี
ตนกูปุเต๊ะ ได้สมรส กับ ตนกูจิ ธิดา ของ พระยากลันตัน (ตนกูสนิปากแดง) ได้บุตรชาย ชื่อ ตนกูปะสา (ชาวปัตตานี นิยม เรียกชื่อ บุตรคนแรกว่า "สุหลง" หรือ "บือซา" แปลว่าโต, ใหญ่, และเรียกบุตรคนสุดท้องว่า "บอซู") พระยา กลันตัน ผู้เป็น คุณตา นำไปเลี้ยงดู อยู่ที่ เมืองกลันตัน เมื่อ พระยา กลันตัน ถึงแก่กรรม สมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดเกล้า แต่งตั้ง ตนกู ปะสา ให้เป็น พระยา รัษฎาบุตร บุรุษ พิเศษ ประเทศราช นฤบดินทร์ สุรินทร์ วังษา ดำรง ตำแหน่ง เจ้าเมือง กลันตัน และ ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๔๑๙ เลื่อน บรรดาศักดิ์ เป็น พระยา เดชา นุชิต มหิศ รายา นุกูล วิบูลย์ภักดี ศรีสุลต่าน มะหมัด รัตน ธาดา มหาปธานาธิการ สืบสาย ตระกูล ปกครอง เมือง กลันตัน ตกทอด กันมา ถึงองค์ สุลต่าน แห่งรัฐ กลันตัน ในปัจจุบัน
หลวง วิจิตร วาทการ ได้แสดง ทัศนะ ต่อ ตนกูปะสา ไว้ว่า "ตนกูปะสา ซึ่งไม่ได้ อะไรเลย ในชั้นต้น ลงท้าย ก็ได้หมด ทุกอย่าง ตัวเอง ได้เป็น เจ้าเมือง ปัตตานี ซึ่งมี ความสำคัญ ไม่น้อยกว่า เมืองอื่น ผู้สืบสาย (โลหิต) ของตน นอกจาก จะได้ ครองเมือง ปัตตานีแล้ว ยังได้ไป ปกครอง เมือง กลันตัน ซึ่งตัว ต้องการ มาก่อน อีกด้วย ให้คติที่ว่า หนทาง การเมือง นั้น ถ้าย่อหย่อน ไม่มีปาก ไม่มีเสียง ไม่ได้อะไรเลย ก็ไม่ว่าอะไร ลงท้าย ก็ไม่ได้อะไร จริงๆ จะเป็นเพียง ขั้นบันได หรือ เรือจ้าง ให้คนอื่น เหยียบก้าว ขึ้นไป หรือ โดยสาร ข้ามฝั่ง แล้ว บันได หรือ เรือจ้าง นั้น ก็จะถูก หาว่า เป็นของเลว ของต่ำ เสียอีกด้วย ไม่มีใคร ยกย่อง ไม่มีใคร เห็น คุณงาม ความดี แต่ ตนกูปะสา ทำถูก ตามวิถีทาง ของ การเมือง คือ เมื่อไม่มีใคร ให้ ก็ต้อง แสวงหา เอาเอง แล้วลงท้าย ก็ได้เอง" (ประชุม พงศาวดาร ฉบับ ความสำคัญ ของหลวง วิจิตร วาทการ)
พ.ศ.๒๔๒๔ พระยา วิชิต ภักดีฯ (ตนกูปุเต๊ะ) ถึงแก่กรรม ทรง พระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ตนกูตีมุง ขึ้นเป็น ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี มีบรรดาศักดิ์ เป็น พระยา วิชิต ภักดีฯ สืบต่อมา
พ.ศ.๒๔๓๓ พระยา วิชิต ภักดี (ตนกูตีมุง) ถึงแก่กรรม ตนกูสุไลมาน หรือ ตนกูบอซู (บุตร คนสุดท้อง ของ ตนกูปะสา) ได้รับ การแต่งตั้ง ให้เป็น ผู้ว่า ราชการ เมือง ปัตตานี และได้รับ บรรดาศักดิ์ เป็นพระยา วิชิต ภักดีฯ ในสมัย ของ ตนกู สุไลมาน นี้ ได้สร้าง สิ่งที่ เป็น คุณประโยชน์ ที่สำคัญยิ่ง ให้แก่ เมืองปัตตานี ไว้ชิ้นหนึ่ง แต่ก็ เป็นการ ทำลาย เมือง หนองจิก ให้กลายสภาพ เหมือนหนึ่ง คนอัมพาต สืบเนื่อง มาจน กระทั่ง ปัจจุบัน คือ การขุดคลองใหม่ (สุงาบารู) ในเขต ท้องที่ อำเภอ ยะรัง เหตุด้วย ลำน้ำ ตานีเดิม เมื่อไหล มาถึงบ้าน ปรีกี ก็จะไหล วกไป ออก ตำบล คอลอตันหยง ตำบลยาบี ในเขต ท้องที่ อำเภอ หนองจิก สายหนึ่ง แล้วจึงแยก สายน้ำ ไหลมา ออกที่บ้าน อาเนาะ บุโละ (ลูกไม้ไผ่) ตำบลยะรัง สู่ปากน้ำ เมืองปัตตานี ที่ตำบล สะบารัง อีกสายหนึ่ง
ฉะนั้น เรือ แพ ที่ล่อง ขึ้นลง ไปมา ค้าขาย กับเมือง ยะลา รามันห์ ก็ต้องผ่าน ด่านภาษี ของเมือง หนองจิก เรือสินค้า เหล่านี้ จำเป็น ต้องเสีย ค่าภาษี ผ่านด่าน ให้แก่ เมืองหนองจิก โดยเฉพาะ ภาษี ดีบุก ทำให้ เมืองปัตตานี ต้องขาด ผลประโยชน์ ไปเป็น จำนวนมาก ตนกูสุไลมาน จึงทำการ ขุดคลอง ลัดขึ้น ตรงบ้าน คลองใหม่ ออกมาสู่ ตำบลยะรัง ในเขต พื้นที่ ของเมือง ปัตตานี ไม่ต้องผ่าน เมืองหนองจิก
เนื่องจาก คลอง ที่ขุด ขึ้นใหม่ เป็นเส้นทาง ตรง กระแสน้ำ ในแม่น้ำ ตานี จึงเปลี่ยน ทางเดิน ออกมาสู่ คลองใหม่หมด ทำให้ แม่น้ำ ตานี ตอนที่ ไหลผ่าน ไปสู่ เมืองหนองจิก ค่อยๆ ตื้นเขินขึ้น เป็นลำดับ ประกอบกับ มีการ ตัดไม้ ทำลายป่า ในเขต อำเภอ เบตง ธารโต ในจังหวัด ยะลา ซึ่งเป็น ต้นน้ำ ลำธาร เป็นต้นเหตุ ให้ฝนตก น้อยลง เมื่อถึง หน้าแล้ง น้ำ ในแม่น้ำ ลำคลอง จะแห้ง ขาดช่วง เป็นตอนๆ ทำให้ ราษฎร ในท้องที่ อำเภอ หนองจิก ขาดน้ำใช้ ทำการ เกษตรกรรม และ เมื่อไม่มี น้ำจืด ไหลออกไป ผลักดัน น้ำทะเล ตรงปากน้ำ บางตาวา น้ำทะเล ก็ไหลเอ่อ เข้าสู่ พื้นที่นา ทำให้เกิด ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ทำนา ไม่ได้ หลายหมื่นไร่ เป็นเหตุ ให้เมือง หนองจิก ที่ สมเด็จ กรมพระยา ดำรง ราชา นุภาพ บันทึกไว้ ในรายงาน การตรวจ ราชการในปี พ.ศ.๒๔๓๙ ว่า "เมืองหนองจิก เป็นแหล่งข้าว ที่นาดี หาเมือง จะเปรียบได้" ต้องกลาย เป็นทุ่งนา รกร้าง ว่างเปล่า ใช้ประโยชน์ มิได้ ราษฎร ส่วนใหญ่ ของเมืองนี้ ล้วนมี อาชีพ เป็นเกษตรกร เมื่อดิน แปรเปลี่ยน สภาพไป ทำนาไม่ได้ ต่างก็ พากัน อพยพ ออกไป หาแหล่ง ประกอบ อาชีพ ต่างท้องที่ จำนวนมาก ตรงกันข้าม เมืองตานี นอกจาก ผู้ว่า ราชการ ได้รับ ค่าดีบุก เพิ่มยิ่งขึ้น แล้ว ราษฎร ก็สามารถ ใช้พื้นที่ ประกอบ การเกษตรกรรม ปลูกพืชผลอื่นๆ นอกจากข้าว เพิ่มขึ้น อีกด้วย เพราะมีน้ำ อุดม สมบูรณ์
ปี พ.ศ.๒๔๔๒ พระยา วิชิต ภักดีฯ (ตนกูสุไลมาน หรือ บอซู) ถึงแก่กรรม พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพระ กรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้ ตนกู อับดุลกาเดร์ เป็นผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี พระราชทาน บรรดาศักดิ์ เป็น พระยา วิชิต ภักดี ศรีรัตนา เขตประเทศราช และเป็น ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี คนสุดท้าย ที่สืบเนื่อง มาจาก พระยา บ้านชายทะเล แห่งรัฐกลันตัน อันมี ตนกูปะสา เป็นผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี เป็นคนแรก เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๘ และ ตนกู อับดุลกาเดร์ เป็นคนสุดท้าย (ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๔๒ ถึงปี พ.ศ.๒๔๔๕) รวมเวลา ที่ ตระกูล พระยา บ้านชายทะเล ปกครองเมือง ปัตตานีอยู่เป็นเวลา ๕๗ ปี
สาเหตุ ที่ พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงยกเลิก ระบบ การปกครอง เมือง ทำนอง ประเทศราช หรือแบบกินเมือง โดยมี เจ้าเมือง (หรือ ผู้ว่า ราชการ เมือง) และบุตร - หลาน สืบทอด ตำแหน่งต่อๆ กันมานั้น เนื่องมาจาก พระองค์ ได้รับ รายงาน จาก กรมการเมือง สงขลา ว่า ราษฎร ในเมือง ยะหริ่ง เข้ามา ร้องเรียน กล่าวโทษ เจ้าเมือง ยะหริ่งว่า "เข้าปล้นบ้าน หนิควร ฆ่าบุตร ภรรยา บ่าวไพร่ และ เก็บเอา ทรัพย์ สมบัติไป"
ทางเมือง รามันห์ เจ้าเมือง รามันห์ และ บุตรชาย คือ หลวง รายา ภักดี ก็ถูก ราษฎร ร้องทุกข์ กล่าวโทษ หาว่า พระยา รามันห์ และ ญาติพี่น้อง ใช้อำนาจ กดขี่ ราษฎร ด้วยการ เกณฑ์แรงราษฎร ไปทำงาน ส่วนตัว เป็นระยะ เวลานาน จน ราษฎร ไม่มี เวลา จะใช้ ทำไร่นา ของตน ส่วน หลวง รายาภักดี ชอบ ประพฤติผิด แบบแผน ประเพณี ฉุดคร่า อนาจาร หญิง และ ให้บ่าวไพร่ เข้ายึดครอง เรือกสวน ที่ดิน ที่อุดม สมบูรณ์ ไปเป็น ทรัพย์สิน ส่วนตัว จนราษฎร พากัน อพยพ หนีไปอยู่ เสีย ที่เมือง เประ ในความ ปกครอง ของอังกฤษ และ เมือง ปัตตานี บ้างก็ แต่งเรื่อง นิทาน ขึ้นเป็น บัตรสนเท่ห์ ตำหนิ ติเตียน ว่า เจ้าเมือง รามันห์ เป็นรายา ที่โหดร้าย (ดูเรื่อง รายา ซันยาญอ) ในหนังสือ แลหลัง เมือง ตานี ของผู้เขียน) ขณะ เดียวกัน พวกอังกฤษ ในเกาะปีนัง และ สิงคโปร์ ก็พยายาม หาทาง แซกแซง โดยเข้ามา คอยยุยง ส่งเสริม ให้เจ้าเมือง ต่างๆ เอาใจ ออกห่าง จาก รัฐบาลไทย เพื่อพวกตน จะได้ ผนวก เอาดินแดน ในแหลม มลายู ตอนเหนือ ไป ครอบครอง
พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้า จึงทรง ตัดสิน พระราชหทัย ทำการ ปฏิรูป ระบบ การปกครอง หัวเมือง ประเทศราช เสียใหม่ ในปี พุทธ ศักราช ๒๔๓๙ คือให้ "บรรดา เมืองชั้นใน และ ชั้นนอก และ เมืองประเทศราช ที่ แบ่งเป็น ปักษ์ใต้ อยู่ใน กระทรวง กลาโหม ฝ่ายเหนือ อยู่ใน กระทรวง มหาดไทย ก็ดี และ ที่อยู่ ใน กระทรวง ต่างประเทศ ก็ดี ตั้งแต่นี้ สืบไป ให้อยู่ ในบังคับ บัญชา ตราราชสีห์ กระทรวง มหาดไทย" และต่อมา รัฐบาล ก็ได้ตรา กฎข้อบังคับ การปกครอง หัวเมือง ขึ้นใช้ โดย ให้ผู้ว่า ราชการ เมือง ซึ่งเคย บังคับ บัญชา บ้านเมือง โดยอิสระ มาขึ้นกับ ข้าหลวง เทศา ภิบาล มณฑล นครศรี ธรรมราช ดังจะเห็น ได้จาก แผนภูมิ การปกครอง ต่อไปนี้
*****************
รัฐบาล 

ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช 

ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณ 

กองบัญชาการเมือง 

พระยาเมือง 
I I I 
ยกกระบัตร ปลัดเมือง ผู้ช่วยราชการเมือง
*****************
ต่อมา ในวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๔๔ รัฐบาล ก็ได้ออก พระราช บัญญัติ ลักษณะ ปกครอง ท้องที่ ร.ศ.๑๑๖ ขึ้น มีการ กำหนด ตำแหน่ง หน้าที่ เจ้าพนักงาน ต่างๆ ขึ้นมา เพื่อ ดำเนินการ บริหาร ราชการ และ ให้ พนักงาน เจ้าหน้าที่ นับตั้งแต่
ผู้ว่าราชการเมือง 
ปลัดเมือง 
ยกกระบัตร 
ผู้ช่วยราชการสรรพากร 
จ่าเมือง 
แพ่ง 
เสมียนตราเมือง 
ศุภมาตรา 
นายด่านภาษีปากน้ำ 
พธำมรงค์ 
แพทย์
ปฏิบัติ หน้าที่ ราชการ ตามที่ กำหนดไว้ โดยเคร่งครัด
จาก กฎ ข้อบังคับ ใหม่ นี้ ทำให้ รัฐบาล สามารถ ลดอำนาจ ของเจ้าเมือง ในด้าน การเมือง การปกครอง ลงได้ อย่างสิ้นเชิง ด้วยมี พนักงาน เจ้าหน้าที่ เข้าทำ หน้าที่ ควบคุม อำนาจ การบริหาร บ้านเมือง ไว้ทั้งหมด ตลอดถึง ตัดทอน ผลประโยชน์ ในทาง การคลัง ซึ่งแต่เดิม เจ้าเมือง เป็นผู้จัดเก็บ ภาษีอากร เอง และนำเงิน ไปจับจ่าย ใช้สอยเอง มาเป็น พนักงาน เจ้าหน้าที่ ของรัฐ คือผู้ช่วย ราชการ สรรพากร ส่วน ผู้ว่า ราชการ เมือง และ วงศ์ญาติ รัฐบาล จัดตั้ง งบประมาณ เป็นค่า ยังชีพ ให้พอเพียง ที่จะใช้สอย เป็นรายปี ให้สมเกียรติ ของผู้ว่า ราชการ เมือง โดย ไม่ต้อง เดือดร้อน
พระยา วิชิต ภักดี (ตนกู อับดุลกาเดร์) ปฏิเสธ ไม่ยอม ปฏิบัติ ตามกฎ ข้อบังคับ สำหรับ ปกครอง บริเวณ เจ็ดหัวเมือง ที่รัฐบาล เป็นผู้ตราขึ้น โดย ขัดขวาง มิให้ เจ้าพนักงาน สรรพากร เข้ามา เก็บภาษี อากร ในท้องที่ เมืองปัตตานี และได้ เดินทาง ไปยัง สิงคโปร์ เพื่อ ขอร้อง ให้เซอร์ แฟรงค์ สเวทเทนนั่ม ข้าหลวงใหญ่ อังกฤษ ที่เมือง สิงคโปร์ ช่วยเหลือ พร้อมทั้ง เสนอให้ อังกฤษ ยึดเอาเมือง ปัตตานี เป็นเมืองขึ้น (ราย ละเอียด ดูเรื่อง พระยาแขก เจ็ดหัวเมือง คบคิด กบฎ ร.ศ.๑๒๑ ในหนังสือ วรรณไวทยากร โครงการ ตำรา สังคมศาสตร์ฯ หน้า ๒๓ ของ นายเตช บุนนาค)
เหตุผล ที่ ตนกู อับดุลกาเดร์ ขัดขืน พระบรม ราช โองการ ในครั้งนี้ สมเด็จ กรมพระยา ดำรง ราชา นุภาพ ทรงกล่าว โดยสรุปว่า
"ใน พ.ศ.๒๔๔๔ นั้น ประจวบ เวลา พวกอังกฤษ ที่เมือง สิงคโปร์ คิด อยากรุก แดนไทย ทางแหลม มลายู แต่ รัฐบาล ที่เมือง ลอนดอน ไม่อนุมัติ พวกเมือง สิงคโปร์ จึงคิด อุบาย หาเหตุ เพื่อให้ รัฐบาล ที่ลอนดอน ต้องยอม ตาม ใน อุบาย ของ พวก สิงคโปร์ ในครั้งนั้น อย่างหนึ่ง แต่งสาย ให้ไป ยุยง พวกมลายู เจ้าเมือง มณฑล ปัตตานี ให้ เอาใจ ออกห่าง จากไทย พระยาตานี (อับดุลกาเดร์) หลงเชื่อ จึงทำการ ขัดแย้ง ขึ้น สมเด็จ พระพุทธ เจ้าหลวง ดำรัสสั่ง ให้จับ และ ถอด พระยา ตานี แล้วเอาตัว ขึ้นไป คุมไว้ ที่เมือง พิษณุโลก การ หยุกหยิก ในมณฑล ปัตตานี ก็สงบไป" (ดู สาสน์ สมเด็จ ของ สำนักพิมพ์ คลังวิทยา ภาค ๓ หน้า ๖๓)
ในปี พ.ศ.๒๔๔๗ ตนกู อับดุลกาเดร์ ได้รับ พระกรุณา จาก สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ อนุญาต ให้กลับ มาอยู่ เมืองปัตตานี ได้ตามเดิม ด้วยให้ คำมั่น สัญญา ว่า "จะ ไม่เกี่ยวข้อง แก่บ้านเมือง อย่างหนึ่ง อย่างใด เป็นอันขาด"
ต่อมา เมื่อ พระบาท สมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้น เถลิง ถวัลย์ ราชสมบัติ ตนกู อับดุลกาเดร์ ก็ได้ทำ หนังสือ ขึ้นกราบ บังคมทูล ขอ พระราชทาน เงินค่ายังชีพ สมเด็จ พระเจ้า อยู่หัว ก็ทรง พระเมตตา พระราชทาน ให้แก่ ตนกู อับดุลกาเดร์ ได้รับเงิน ตามที่ขอ เป็นเงิน เดือนละ ๓๐๐ บาท (จาก จดหมาย พระยา พิบูลย์ พิทยาพรรค ธรรมการ มณฑล ปัตตานี มีไปถึง ขุนศิลปกรรม พิเศษ อดีต ศึกษาธิการ เขตการ ศึกษา ๒ จังหวัดยะลา ลงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๐๕) หลังจากนั้น ตนกู อับดุลกาเดร์ ก็ได้ อพยพ ครอบครัว ไปพำนัก อยู่ใน รัฐกลันตัน จนกระทั่ง ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.๒๔๗๖
ลำดับที่ / รายนามผู้ว่าราชการเมืองปัตตานี/ ปีที่ดำรงตำแหน่ง
๑ ตนกูลัมบิเด็น ๒๓๒๙-๒๓๓๔
๒ ระตูปะกาลัน ๒๓๓๔-๒๓๕๑
๓ นายขวัญซ้าย ๒๓๕๑-๒๓๕๘
๔ นายพ่าย ๒๓๕๘-๒๓๕๙
๕ ต่วนกูสุหลง ๒๓๕๙-๒๓๗๕
๖ นายทองอยู่ ๒๓๗๕-๒๓๘๒
๗ นายแม่นบุตรพระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) และพระยาวิชิตณรงค์ รักษาราชการแทน ๒๓๘๒-๒๓๘๓
๘ นิยุโซะ (หรือโต๊ะกี) ๒๓๘๓-๒๓๘๘
๙ พระยาวิชิตภักดีฯ (ตนกูปะสา) ๒๓๘๘-๒๓๙๙
๑๐ พระยาวิชิตภักดีฯ (ตนกูปุเตะ) ๒๓๙๙-๒๔๒๔
๑๑ พระยาวิชิตภักดีฯ (ตนกูตีมุง) ๒๔๒๔-๒๔๓๓
๑๒ พระยาวิชิตภักดีฯ (ตนกูสุไลมาน) ๒๔๓๓-๒๔๔๒
๑๓ พระยาวิชิตภักดีฯ (ตนกูอับดุลกาเดร์) ๒๔๔๒-๒๔๔๕
เศรษฐกิจเมืองปัตตานี :
สภาพ ทาง ภูมิ ศาสตร์ เมือง ปัตตานี ตั้งอยู่ ที่ เส้น ละติจูด ๐๖-๕๑'-๓๐" และ เส้น ลองติจูด ๑๐๑-๑๕'-๔๐" ทาง ทิศ ใต้ ของเมือง พื้น แผ่นดิน สูง ประกอบด้วย เทือกเขา สันกาลาคีรี อันเป็น ที่เกิด ของ แหล่งน้ำ แล้ว ลาดต่ำ ลงมา จนเกิด เป็น ที่ราบลุ่ม ตาม ชายฝั่ง ทะเล ขึ้นทาง ทิศเหนือ มี แม่น้ำ สำคัญ อยู่ ๒ สาย ได้แก่
แม่น้ำ ตานี ซึ่ง เกิดจาก ยอดน้ำ ระหว่าง ภูเขา ตาปาปาลัง กับ ภูเขาฮันกูส ระหว่าง เขตแดน ประเทศ ไทย กับ ประเทศ มาเลเซีย แม่น้ำนี้ ไหลผ่าน อำเภอ เบตง กิ่ง อำเภอ ธารโต อำเภอ บันนังสตา อำเภอ เมืองยะลา อำเภอ ยะรัง อำเภอ หนองจิก ไปสู่ ปากอ่าว ที่ตำบล สะบารัง อำเภอ เมืองปัตตานี สายหนึ่ง และที่ ตำบล บางตาวา อำเภอ หนองจิก อีกสายหนึ่ง มีความยาว ๑๙๐ กิโลเมตร
แม่น้ำ สายบุรี เกิดจาก ยอดน้ำ ระหว่าง ภูเขา อุลกาโอ กับ ภูเขา ตาโป ระหว่างเขตแดนไทย - มาเลเซีย ในท้องที่ อำเภอ แว้ง จังหวัด นราธิวาส ไหลผ่าน อำเภอ ระแงะ อำเภอ รือเสาะ อำเภอ รามันห์ ลงสู่ ทะเล ในท้องที่ อำเภอ สายบุรี เป็น ระยะทาง ยาว ๑๗๐ กิโลเมตร
แม่น้ำ ทั้งสอง ช่วยพัดพา ดินแดน และ อินทรียวัตถุ มาทับถม พื้น แผ่นดิน สองฟาก แม่น้ำ ที่ไหลผ่าน เป็นระยะ ยาวนาน ทำให้ ผืนแผ่นดิน อุดม ไปด้วย ปุ๋ย อันโอชะ เหมาะ แก่การ ใช้ประโยชน์ ในทาง การ เกษตรกรรม เป็นอย่างดี ประกอบ กับ ที่ตั้ง ของ เมือง อยู่ใน แถบที่ ลม มรสุม พัดผ่าน ไปมา ตลอดปี ทำให้ มีฝน ตกชุก กว่าภาคอื่นๆ จึงทำให้ เมือง ปัตตานี อุดม ไปด้วย พืชผลไม้ นานา ชนิด มีกิน กันตลอดปี ดังที่ มันเดลสโล กล่าวไว้ ว่า "ชาวเมือง ปัตตานี มีผลไม้ กินทุกเดือน เดือนละ หลายๆ ชนิด" ส่วน บริเวณ ที่ราบลุ่ม ใกล้ฝั่ง ทะเล ซึ่งเกิด จากการ ตกตะกอน ของดิน และ โคลน ที่ แม่น้ำ ทั้งสอง พัดมา รวมตัว กันเข้า เมื่อ หลาย พันปี มาแล้ว ได้กลาย สภาพ เป็นที่นา สามารถ เพาะปลูก ข้าว เลี้ยงดู พลเมือง ได้เพียงพอ รองลงมา จากเมืองนครฯ พัทลุง และ สงขลา ดังที่ สมเด็จ กรมพระยา ดำรงฯ ทรง บันทึก ไว้ใน รายงาน การตรวจ ราชการ ว่า "เมืองหนองจิก นาดี หาเมืองใด เปรียบได้" และ เมืองปัตตานี มีท่า เทียบเรือ ที่ดี เนื่องจาก มีแหลมโพธิ์ เป็นที่ กำบัง ลม ทำให้ อ่าว เมืองปัตตานี ปลอดคลื่นลม พายุ ที่ร้ายแรง เหมาะ แก่การใช้ เป็นอู่ ซ่อมแซมเรือ ในคราว จำเป็น และ แวะรับ น้ำจืด และ เสบียง อาหาร ได้ทุก ฤดูกาล
เส้นทางการค้าขาย:
เมืองปัตตานีมีเส้นทางติดต่อค้าขายทั้งทางทะเลและทางบก
ทางทะเล สามารถ ทำการค้า กับพ่อค้า ได้ทั้ง ๒ ฟากสมุทร คือ อ่าวไทย และ ทะเล อันดามัน ทางทะเล อันดามัน มีเมือง เกดาห์ (ไทรบุรี) เป็น ศูนย์กลาง เชื่อว่า เส้นทาง สายนี้ เป็นเส้นทาง ที่เมือง ปัตตานี ติดต่อ กับ ชาวอินเดีย และ อาหรับ เปอร์เซีย ใน ระยะ แรก ของ การ เดินเรือ ของ ชาว ต่างประเทศ ที่ เดินทาง มาค้าขาย ใน แหลมมลายู และ หมู่เกาะ ชวา ซึ่ง เป็นระยะ ที่ชาวเรือ ยังขาด ความรู้ ความชำนาญ ในการ ต่อเรือ สินค้า ขนาดใหญ่ และ ไม่มีความรู้ ในการ ใช้เข็มทิศ และ แผนที่ เดินเรือ อาศัย เรือ ขนาดเล็ก เดินเลียบฝั่ง มหาสมุทร อินเดีย ลัดเลาะ มาตาม ชายฝั่ง สู่ ท่าเรือ น้อยใหญ่ เข้าสู่ เมือง ไทรบุรี ทางฝั่ง ตะวันตก ของ แหลม มลายู แล้ว เดินทางบก ข้ามฟาก มาสู่เมือง ปัตตานี
ดัง ปรากฏ หลักฐาน อยู่ใน ตำนาน เมืองไทรบุรี - ปัตตานี เรื่อง มารงมหาวังสา กล่าวถึง เส้นทาง การ เดินทาง จาก เมืองโรม มา ตั้งเมือง ลังกาสุกะ หรือ เกดาห์ ว่า ได้แล่นเรือ จาก เมือง โรม ใน อินเดีย (อาจ เป็นเมือง โรมวิสัย ในอินเดีย หรือ เมืองคอนยา ดู โลก อิสลาม ของ ประจักษ์ ช่วยไล่ หน้า ๑๕๗) เลียบฝั่ง ทะเล ผ่าน ท่าเรือ เมือง ต่อไปนี้ ตามลำดับ คือ
ปากน้ำจังกง (คือเมืองจิตตกองในพม่า)
ปากน้ำตาไว (เมืองทวาย)
ปากน้ำปาริท (เมืองมฤท)
ปากน้ำซาลัง (เมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต)
เกาะลังกาบุรี (อยู่ในจังหวัดสตูล)
เกาะสรี (อยู่ในเมืองเกดาห์)
เส้นทางบก ติดต่อ กับเมือง ไทรบุรี โดย ช้าง เป็น พาหนะ ในการ ลำเลียง สินค้า ซึ่งเพิ่ง จะเลิกใช้ กันใน ปลายรัชสมัย ของ พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว เนื่องจาก เกิด เส้นทาง ใหม่ ที่ สะดวก รวดเร็ว และ ปลอดภัย กว่า คือ ทางรถไฟ ดัง ปรากฏ อยู่ใน บทขับร้อง ของ ชาว ชนบท ป่าบอน อำเภอ โคกโพธิ์ บทหนึ่งว่า
"หยับโหยงกะโท้งไม้รั้ว (หยับโหยง - การเล่นกระดานหก) 
ผัวเล่นเบี้ยเมียเล่นไก่ 
ผัวไปไทร เมียไปตาหนี 
หนามเกี่ยว...หลบหนีไม่ทัน"
เส้นทางบก ที่ใช้กัน ในอดีต มีอยู่ ๒ เส้นทาง ซึ่ง ยังคง ร่องรอย ซาก ปรัก หักพัง ของ โบราณสถาน และ หมู่บ้านเก่าๆ เป็น หลักฐาน แสดง ที่ตั้ง ชุมชน ครั้ง โบราณ ปรากฏ อยู่
เส้นทางที่ ๑ จาก อำเภอเมือง ปัตตานี - สู่ อำเภอ ยะรัง - บ้าน ยาปี โคกหมัก ปรักปรือ อำเภอ หนองจิก สู่บ้านแม่กัง บ้านยางแดง อำเภอ โคกโพธิ์ (เดิมเรียก อำเภอ เมืองเก่า) ผ่านช่องเขา บ้านนาค้อ เข้าบ้านป่าลาม ป่าบอน ที่บริเวณ หมู่บ้านนี้ พบขวานหิน ๑๐ เล่ม เบ้าดิน สำหรับ หล่อทองดำ และ พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร สำริด และ เศษถ้วยชาม เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังได้พบ เหรียญทองแดง ขนาด ๔.๕ ซ.ม. เป็นเหรียญ ของจีน สมัย พระเจ้า เจิ้นเต๋อ ระหว่าง ปี พ.ศ.๒๐๔๙ อีกด้วย แสดงว่า เคยเป็น ที่ตั้ง ชุมชน มาแต่ โบราณ ซึ่งตรง กับ ตำนาน เมืองไทรบุรี - ปัตตานี ที่กล่าว ว่า ธิดา เจ้าเมือง ไทรบุรี เสี่ยงช้าง ชื่อ พรหมศักดิ์ มาตั้งเมือง ขึ้นชั่วคราว ที่บ้าน ช้างไห้ (ตก) จากนั้น ก็ข้าม ช่องเขา สันกาลาคีรี เข้าสู่ บ้านควน หินกอง ในเขต อำเภอ สะบ้าย้อย บ้านคูหา ถ้ำหลอด และ สวนชาม สู่เมือง ไทรบุรี
เส้นทางที่ ๒ จาก อำเภอเมือง ปัตตานี - อำเภอยะรัง บ้านวังตระ อำเภอ เมืองยะลา บ้านนาประดู่ อำเภอ โคกโพธิ์ สู่ อำเภอ ยะหา จังหวัดยะลา ผ่าน ช่องเขา ดือบู (ภูขี้เถ้า) ซึ่งเดิม เป็นที่ตั้ง ด่านภาษี ของเมือง ยะลา จากนั้น ก็เดินทาง เข้าสู่ เขตแดน เมืองไทรบุรี
เส้นทางน้ำ ทางฝั่งอ่าวไทย มีการ ติดต่อ ค้าขาย กับเมืองท่า ในบริเวณ อ่าวไทย มีสงขลา นครศรี ธรรมราช อยุธยา กลันตัน ตรังกานู ปาหัง ยะโฮร์ และ มะละกา ตลอด ไปถึง เกาะสุมาตรา มีเมือง ปาไซ เมืองอัจแจ เมืองเซียะ เมืองปาเล็มบัง เมืองมานังกาเบา
สินค้าที่เกิดในท้องถิ่น มี :
เกลือ ดีบุก ทองคำ (จาก บริเวณ เหมือง ในอำเภอ โต๊ะโมะ จังหวัด นราธิวาส และ บริเวณ ต้นน้ำ สายบุรี)
ของป่า ไม้ฝาง กรักขี ไม้มะเกลือ ซาราเซะ (ไม้ตะกูล กะเพรา) เขา และ หนังสัตว์ นอแรด หวาย ไม้เนื้อแข็ง พริกไทย ครั่ง และกำยาน
อาหาร ข้าว เนื้อสัตว์ และปลาเค็ม น้ำมันมะพร้าว ผักและผลไม้
สินค้า หัตถกรรม พื้นบ้าน ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ผ้าจวนตานี ผ้ายกตานี น้ำมันตานี
สินค้า ต่างประเทศ ที่สำคัญ ซึ่ง พ่อค้า นำเข้ามา จำหน่าย ในตลาด เมืองปัตตานี สมัย กรุงศรีอยุธยา ตามที่ ปรากฏอยู่ ในเอกสาร ของชาว ฮอลันดา มี แพร ไหม ถ้วยชาม - จากจีน ทองแดง - จากญี่ปุ่น ของพ่อค้า ชาวเกาะ ริวกิว (เกาะโอกินาวา) ปืนใหญ่ - จากยุโรป ผ้าแพรพรรณ - จากเปอร์เซีย อินเดีย เช่น ผ้าอัตตลัด เข็มขาบ โหมดตาด ยามตานี ผ้ายกเงิน ผ้ายกทอง น้ำหอม
เหตุที่ทำให้เมืองปัตตานีเป็นศูนย์การค้า (ในศตวรรษที่ ๒๑-๒๒) :
๑.เมืองมะละกา ซึ่งเป็น ศูนย์การค้า ระหว่าง ซีกโลก ตะวันตก กับ ซีกโลก ตะวันออก สลายตัวลง เนื่องจาก ถูกชาติ โปรตุเกส เข้ายึดครอง เป็นเหตุ ให้พ่อค้า ชาวมุสลิม และ ชาวอินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ และ พ่อค้า ชาวจีน ญี่ปุ่น ไม่พอใจ ในนโยบาย การค้า ของ โปรตุเกส จึงพากัน มาตั้ง สถานี การค้า ของตน ขึ้นใน เมืองปัตตานี
๒.ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๑๒-๒๑๔๐ กรุงศรี อยุธยา ซึ่งเป็น ศูนย์การค้า ที่ยิ่งใหญ่ แห่งหนึ่ง ในเอเซีย ตะวันออก เฉียงใต้ ต้อง หยุดชะงัก ลง เพราะ ไทย สูญเสีย อิสรภาพ แก่พม่า บ้านเมือง ตกอยู่ใน สภาวะ ระส่ำ ระสาย ผู้คน แตก กระจัด กระจาย กันไป ตามหัวเมือง ต่างๆ พ่อค้า ชาวจีน ญี่ปุ่น จึงมาใช้ ท่าเรือ เมืองปัตตานี มากขึ้น และ สินค้า ชาวจีน เป็นที่ ต้องการ ของชาว ยุโรป โดยเฉพาะ เครื่องถ้วย ชนิดดี และ สินค้า จำพวก แพร และ ไหมอันมีชื่อเสียง ของจีน เมือง ปัตตานี จึงกลายเป็น ศูนย์การค้า ในบริเวณ อ่าวไทย ขึ้นมา อย่างรวดเร็ว จนพ่อค้า ให้สมญานาม เมืองปัตตานีใ นขณะนั้น ว่า
"เป็นเมือง ศูนย์การค้า แพร ไหม รองจาก เมืองกวางตุ้ง" และ "เป็นเมืองท่า สองพี่น้อง กับเมือง ฮิราโดะ" ของญี่ปุ่น (ความ สัมพันธ์ ในระบบ บรรณาการ ระหว่าง จีนกับไทย หน้า ๑๒๘ และ หน้า ๑๓๔ ของ สืบแสง พรหมบุญ)
๓.นางพญา ปัตตานี มีความ ปรีชา สามารถ ในการ ปกครอง การจูงใจ พ่อค้า พาณิชย์ เป็นอย่างดี เช่น พระราชทาน เงิน ให้พ่อค้า ชาวอังกฤษ และ ชาวฮอลันด ากู้ยืมเงิน เพื่อนำไป ซื้อสินค้า ให้แก่ บริษัท ของตน ในยาม ขาดแคลน เงินลงทุน ดังปรากฏ หลักฐาน อยู่ใน จดหมายเหตุ นายคอร์ลิสฟอนนิวรุท ความว่า "ข้าพเจ้า นำเงิน ที่ขอยืม มาจาก นางพญา ปัตตานี (บีรู) ไปซื้อสินค้า ไว้มากพอ ทีเดียว คือ ซื้อไหมดิบ งามๆ ๒๖ หาบ น้ำตาล ๘๐ หาบ ขิงดอง ๑๖ หม้อ และ เครื่องปั้น ดินเผา" (ดู หนังสือ เอกสาร ของ ฮอลันดา สมัย กรุงศรี อยุธยา หน้า ๘๓ ของนันทนา สุตกุล) และ พระนาง สามารถ ให้ความ คุ้มครอง แก่บรรดา พ่อค้า ที่เข้ามา ค้าขาย เมื่อประสพภัย เช่น ในปี พ.ศ.๒๑๖๑ ชาว ฮอลันดา เกิดรบ กับ ชาวอังกฤษ ที่เข้ามา ค้าขาย อยู่ในเมือง ปัตตานี ชาวอังกฤษ ซึ่งมี กำลัง น้อยกว่า ถูกพวก ฮอลันดา ฆ่า และ จับ เป็นเชลย ที่เหลือรอด มาได้ ก็แต่พวก หลบหนี เข้าไป ขอ ความคุ้มครอง จากเจ้าหญิง บีรู เท่านั้น ในการ รบกัน ครั้งนี้ ชาวอังกฤษ ได้เสีย เรือรบ ไป ๒ ลำ คือเรือ "แซมป์สัน" และ เรือ "เฮาวน์" ถูกกองเรือ ฮอลันดา ยิงล่ม จมลง ในอ่าว หน้าเมือง ปัตตานี
๔.เกิด โจรสลัด ขึ้นใน ช่องแคบ มะละกา ชุกชุม จนพ่อค้า ตะวันออกกลาง และ อินเดีย ไม่กล้า เสี่ยง นำ เรือสินค้า ผ่าน ช่องแคบ มะละกา ดังเช่น สมัยก่อน มาใช้ เมืองมะริท เมืองตะนาวศรี เป็นเมืองท่า ขนสินค้า ทางบก ผ่านมายัง เมืองกุยบุรี เพชรบุรี แล้วบรรทุก เรือ ไปสู่ อยุธยา และ ปัตตานี
๕.มีการ ระดมทุน ของชาวยุโรป เพื่อมาตั้ง สถานี การค้า ขึ้นที่ เมืองปัตตานี เป็นจำนวนมาก ฝรั่ง ชาติแรก ที่เข้ามา ตั้ง หลักแหล่ง ทำการค้า ขึ้นใน เมืองปัตตานี เป็นชาว โปรตุเกส ชื่อ มานูเอลฟัลเซา เมื่อ ปี พ.ศ.๒๐๕๙
ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๑๔๕ ชาว ฮอลันดา ก็ได้ตั้ง บริษัท ดัชอิสต์ อินเดีย ขึ้น และได้ ส่ง นายดาเนียล วันเคอร์เลค มาเปิดห้าง ทำการค้า ขึ้นที่ เมืองปัตตานี ในปี พ.ศ.๒๑๔๗ และ ปี พ.ศ.๒๑๕๕ บริษัท อิสต์อินเดีย ของอังกฤษ ก็ได้ส่ง นายปีเตอร์ ฟลอริส เข้ามาตั้ง สถานี การค้า ขึ้นที่ ปัตตานี อีก เป็นชาติที่สาม แต่ การค้า ของ อังกฤษ ในปัตตานี ไม่ประสพ ความสำเร็จ เท่าที่ควร จึงได้เลิก กิจการ ไปในปี พ.ศ.๒๑๘๕ เพื่อ ทุ่มเท ทุนทรัพย์ นำไป ลงทุน ในเมือง มะลากา ปีนัง และ สิงคโปร์ ซึ่ง ต่อมา อังกฤษ ก็ได้ยึด เอาเมือง เหล่านั้น ไว้เป็น อาณานิคม ของตน
นอกจาก บริษัท การค้า ของชาวยุโรป ดังกล่าวแล้ว ชาวจีน และ ญี่ปุ่น ก็มาตั้ง ห้างร้าน ของตน ขึ้นใน เมืองปัตตานี ก่อนที่ ชาวยุโรป จะเข้ามา เสียอีก ชาวจีนนั้น นอกจาก จะเข้ามา ทำการ ค้าขาย แล้ว ยังได้มา ตั้งรกราก มีบุตร ภรรยา กับชาวเมือง ปัตตานี เป็นจำนวนมาก J. Anderson กล่าวว่า ภายใน ตัวเมือง ปัตตานี มีชาวจีน อาศัยอยู่ มากกว่า ชาวพื้นเมือง (ดู หนังสือ ความสัมพันธ์ ในระบบ บรรณาการ ระหว่าง จีน กับ ไทย หน้า ๑๓๔ ของ สืบแสง พรหมบุญ)
เมืองปัตตานี เจริญ รุ่งเรือง อยู่เพียง หนึ่งศตวรรษ หลังจาก สิ้นราชวงศ์ โกตา มหลิฆัย แล้ว ก็เริ่ม เสื่อมลง สาเหตุ ของความ เสื่อมโทรม สรุป จาก หลักฐาน ที่ชาว ต่างประเทศ บันทึกไว้ จะเห็นได้ว่า เนื่องมาจาก การทำ สงคราม และ เกิดการ จลาจล ขึ้น ภายในเมือง บ่อยครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ ๑ จดหมาย ของนายแมร์แทน เฮาท์แมน ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๑๕๖ เล่าเรื่อง สงคราม ระหว่าง เมืองปัตตานี กับ นครศรี ธรรมราช ว่า "เรือโอรังคะเช แล่นไปๆ มาๆ ระหว่าง กองเรือ ตาม ชายฝั่ง ทะเล เพื่อ ยึด บรรดา เรือสำเภา ของจีน ซึ่ง เดินทาง ไป นครศรี ธรรมราช และ สงขลา เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช ได้ทราบ เรื่องนี้ และ เตรียม รับมือ ไว้ก่อน อย่าง ไม่ต้อง สงสัย เพราะ เขา ต้องการ หาเรื่อง ทะเลาะ อยู่ เหมือนกัน ดูเหมือน ในที่สุด เขาก็ได้ เมืองปัตตานี เรือสำเภา หลายลำ จากปัตตานี ถูกจับกุม ที่นี่ อย่างเด็ดขาด"
ครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ.๒๑๖๑ เมืองปัตตานี ได้ทำ สงคราม กับเจ้าเมือง ยะโฮร์ ปาหัง และบอร์ ทำให้ เรือสินค้า จีน มาค้า เมืองปัตตานี ลดน้อยลง เพราะ ถูกคู่ สงคราม คอยทำการ ปล้นสดมภ์ เรือสินค้า
ครั้งที่ ๓ ปี พ.ศ.๒๒๐๒ สมเด็จ พระนารายณ์ ทรงชักชวน นายยอนรอลินส์ ผู้แทน บริษัท อิสต์อินเดีย ของอังกฤษ ให้มา ค้าขาย ในเมืองไทย โดย พระองค์ ยินดี ยกเมือง ปัตตานี ให้บริษัท จัดทำ เป็นเมือง ป้อมปราการ เช่นเดียวกับ เมือง มัทราช ในอินเดีย แต่เมื่อ อังกฤษ ส่งคน ไปสำรวจ เมือง ปัตตานี พบว่า เมืองปัตตานี กำลังเกิด จลาจล รบพุ่ง กันอยู่ จึงเลิก ความคิด ที่จะ จัดตั้ง เมืองปัตตานี เป็น สถานี การค้า ขึ้นมา ใหม่
ครั้งที่ ๔ จาก รายงาน ของเยอร์ชเดวิส และ จอห์นปอร์ตแมน แห่งเมือง ไทรบุรี ถึง ประธาน และ กรรมการ แห่งเมือง สุรัต ลงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๖๗๑ (พ.ศ.๒๒๑๓) ว่า "การสงคราม สู้รบ กัน ระหว่าง เจ้าหญิง ปัตตานี กับ เจ้าเมือง สงขลา ยังคง มีอยู่ ต่อไปอีก แม้ว่า ไทรบุรี จะได้ ส่งทูต ไปยัง เมืองทั้งสอง แล้ว เพื่อ ทำการ ไกล่เกลี่ย ปรองดอง กัน" และ อีกฉบับหนึ่ง เป็นของ นายโยซัง เบอร์โรส จากเมือง ไทรบุรี ถึง ประธาน และ กรรมการ แห่งเมือง สุรัต ลงวันที่ ๒๘ ตุลาคม ค.ศ.๑๖๗๔ (พ.ศ.๒๒๑๗) ว่า "เมื่อราว ๙ เดือนมาแล้ว ชาวไทย ได้เมือง ปัตตานี คนใหญ่โต ในเมืองนั้น ได้เสีย ชีวิต ไปมาก ซึ่งเป็น อุปสรรค ขัดขวาง ต่อการค้า ที่นี่ มากมาย" ถึงกระนั้น สงคราม ระหว่าง ปัตตานี กับ สงขลา ก็ยังมี ติดต่อ ยืดเยื้อ กันอีก ต่อไป ดังปรากฏ อยู่ใน จดหมายเหตุ ของ มร.ฟอตส์ มีไปถึง นายฟอร์ด เซนต์ยอร์ช ที่ประจำ อยู่ที่ กรุงศรี อยุธยา ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ค.ศ.๑๖๗๘ (พ.ศ.๒๒๒๑) ว่า "การที่ ยังคงมี การสงคราม สู้รบ กันที่ ปัตตานี ต่อไปนั้น ทำลาย ความ ตั้งใจ ตั้งหลักแหล่ง ที่นั่น ของเขา ไปเสียแล้ว"
ครั้งที่ ๕ เกิดกบฏ แย่งชิง กันเป็น เจ้าเมือง ปัตตานี ระหว่าง สุลต่าน ลองนุยุส กับ ดาดู ปะกาลัน เจ้าเมืองสาย ซึ่ง เป็น น้องชาย ของ สุลต่าน ลองยุนุส ประวัติ เมือง ปัตตานี กล่าวว่า "วันศุกร์ ๑๗ ค่ำ เดือนมะหะรัม อิจเราะห์ ๑๑๔๒ (ตรงกับปี พ.ศ.๒๒๖๕ ใน รัชสมัย สมเด็จ พระเจ้า ท้ายสระ ระหว่างปี พ.ศ.๒๒๒๕-๒๒๗๕) สุลต่าน ยุนุส ได้นำ กองทัพ ไปปราบ กบฏ ซึ่งมี ดาดู ปะกาลัน เจ้าเมืองสาย เป็นผู้นำ สุลต่าน ลองยุนุส ได้เสียที แก่ ระตู ปะกาลัน จนถึงกับ เสียชีวิต ในที่รบ" ระตูปุยุด ซึ่งเป็น อนุชา องค์รอง ของ สุลต่าน ลองยุนุส ได้เป็น เจ้าเมือง คนต่อมา และ ได้ย้าย ศูนย์การ ปกครอง เมือง ปัตตานี ไปตั้งอยู่ ที่ตำบล ปุยุด ในปัจจุบัน ซึ่งยังมี ซากกำแพง เมือง ปรากฎอยู่
นอกจาก สาเหตุ แห่งการ ทำสงคราม และ เกิดการ จลาจล ขึ้นใน เมือง ปัตตานี บ่อยครั้งแล้ว บริษัท ดัชอินเดีย ของฮอลันดา ก็ได้ย้าย กิจการ ค้า ของตน ออกไป จากปัตตานี ไปลงทุน ในเมืองมะละกา ซึ่ง ฮอลันดา ยึดมา จาก โปรตุเกส เมื่อปี พ.ศ.๒๑๘๕ และ ยัง ไป ลงทุน ตั้งสถานี การค้า ขึ้นที่ เมือง บันตัม ในเกาะ ชวา การ ยึดครอง เมืองมะละกา ของฮอลันดา สามารถ ทำให้ กองเรือรบ ของตน ควบคุม เส้นทาง เดินเรือ ค้าขาย ในอ่าวไทย ไว้แต่ผู้เดียว ทำให้ เรือสินค้า ชาติต่างๆ มาค้าขาย ที่เมืองปัตตานี ลดลง อีกประการหนึ่ง สินค้า ของป่า ในเมือง ปัตตานี ก็มี จำนวน ลดน้อยลง สู้ตลาด อยุธยา และ หมู่เกาะ ชวา ไม่ได้ พ่อค้า จึงพากัน ไปค้าขาย ที่เมืองท่า อื่นๆ หมด ปัตตานี จึงหมด สภาพ ความเป็น ศูนย์การค้า ตั้งแต่ นั้นมา
วัฒนธรรมและศาสนา :
ก่อนที่ วัฒนธรรม อินเดีย จีน อาหรับ จะเข้ามา มีบทบาท ในสังคม ของชาวเอเซีย ตะวันออก เฉียงใต้ ผู้คน ในดินแดน แถบนี้ มีจารีต ประเพณี ความเชื่อถือ เป็นของ ตน อยู่ก่อนแล้ว คือ ลัทธิ นับถือ ภูตผี มีความเชื่อว่า ทุกสิ่ง ที่มีชีวิต และ ไม่มี ชีวิต ได้แก่ ภูเขา ทะเล สิงห์สา ราสัตว์ ต้นไม้ มีความศักดิ์สิทธิ์ (Keranmat) สิงห์สถิตย์ อยู่เช่นเดียวกับ วิญญาณ บรรพบุรุษ หรือ บุคคล สามารถ ให้คุณ และ โทษ แก่มนุษย์ได้ มีหัวหน้าเผ่า เป็นผู้ปกครอง มี ระเบียบ และ กฎเกณฑ์ สำหรับ ใช้ เพื่อ ควบคุม ความประพฤติ ความเป็นอยู่ของชุมชน มีความรู้ ความสามารถ ในการ ทำเครื่องมือ เครื่องใช้ ในการ ดำรง ชีวิต ของตน ดีพอสมควร ดังที่ จะเห็น ได้จาก โบราณ วัตถุ ที่ขุดพบ ตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่ง นักโบราณคดี ทำการ วิจัย หา อายุ สมัย ของ โบราณ วัตถุ เหล่านั้น มีอายุ ไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ปี
ต่อมา มีการ ไปมา หาสู่ กับผู้คน ภายนอก เชื่อกันว่า คนพวกแรก ที่นำเอา วัฒนธรรม และ ศาสนา เข้ามา สู่ดินแดน สุวรรณภูมิ ได้แก่ ชาวภารตะ หรือ ชมภูทวีป (อินเดีย) ซึ่ง มีเรื่อง กล่าวไว้ ในวรรณคดี ทางพุทธศาสนา ได้แก่เรื่อง สังขชาดก และ มหาชนก ชาดก ว่า ได้แต่ง สำเภา เดินทาง มาค้าขาย ใน สุวรรณ ภูมิ ทวีป ซึ่ง หมายถึง ดินแดน ในแถบ เอเซีย ตะวันออก เฉียงใต้ รวมทั้ง แหลมไทย มลายู เมื่อ ๒,๐๐๐ ปี มา แล้ว ด้าน ศาสนาฮินดู (พราหมณ์) ก็ปรากฏ วรรณคดี ที่เกี่ยวกับ ศาสนานี้ แพร่หลาย เป็นที่ นิยม ของชนชาติ ต่างๆ ในแถบนี้ ได้แก่ กาพย์ รามายณะ และ คัมภีร์ ปุราณะ
จดหมายเหตุ ชาวจีน สมัย ราชวงศ์ เหลียงกล่าวว่า "ในประเทศตันซุน มีพวกฮู (พ่อค้า) มาจากอินเดียกว่า ๕๐๐ ครอบครัว มีฮุตโต (พระภิกษุ) ๒ รูป และ พวกพราหมณ์กว่า ๑,๐๐๐ คน มาจาก อินเดีย พวก ราษฎร ชาวตันซุน นับถือ ศาสนา ของชาวอินเดีย และ ยกบุตรสาว ให้แต่งงาน กับ พวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์ จึงตั้ง รกราก อาศัยอยู่ ในเมืองนี้"
ศาสตราจารย์ เซเดส์ว่า "พวกพราหมณ์ นั่นเอง เป็นผู้นำ จารีต ของ อินเดีย เข้ามา ตามคำ เรียกร้อง ของพวก หัวหน้า พื้นเมือง ในลักษณะ ค่อย แทรกซึม เข้าไป มี อิทธิพล ในสังคม ของ ชาว เอเซีย ตะวันออก เฉียงใต้ ผสม ผสาน กับ ขนบ ธรรมเนียม ดั้งเดิม จนกลายเป็น เอกลักษณ์ เฉพาะ ของ แต่ละ ท้องถิ่น ไปใน ที่สุด
ร่องรอย ทาง โบราณ คดี ที่บ่งบอก ถึงต้นกำเนิด โบราณวัตถุ ว่า มาจาก อินเดีย หรือ ได้รับ อิทธิพล จาก ศาสนาพราหมณ์ ที่เก่า ที่สุด ที่พบ บนแหลมไทย - มลายู ได้แก่ เทวรูป พระวิษณุ ซึ่งพบ ที่วัด ศาลาทึง อำเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ ธานี บริเวณ จังหวัดนี้ นัก โบราณ คดี สันนิษฐาน ว่า เป็นที่ตั้ง ของรัฐ ตันซุน ที่กล่าวแล้ว ประมาณ อายุ ของ เทวรูป พระวิษณุ องค์นี้ ตกราว ปี พุทธ ศักราช ๗๐๐ ถึง ๘๐๐
ส่วน อาณาบริเวณ ที่เชื่อกันว่า เคยเป็น ที่ตั้งเมือง ลังกาสุกะ เมือง โกตา มหลิฆัย จนกระทั่ง มีการ แปรเปลี่ยน สภาพ มาเป็นเมือง ปัตตานี ในปัจจุบัน พบโบราณวัตถุ อันเนื่อง ใน ศาสนา พราหมณ์ และ ศาสนาพุทธ ได้แก่ ศิวะลึงค์ และ โยนีโธรณะ ในท้องที่ อำเภอ ยะรัง ยะหริ่ง จังหวัด ปัตตานี เทวรูป ปาง แสดง ธรรม เทศนา สัมฤทธิ์ ครอง อุตราสงฆ์ ห่มเฉียง จีบเป็นริ้ว ที่เรียก กันว่า พระพุทธรูป สมัย อมรวดี ที่ อำเภอ สุไหงโก-ลก จังหวัด นราธิวาส พระพุทธรูป ศิลา ปาง ประทาน พรพระ ธรรมจักร ซึ่ง แกะสลัก จากหินทราย และ สถูป จำลอง ดินเผา ที่มี ลวดลาย ศิลป ในการสร้าง คล้ายคลึง กับ ศิลป สมัย คุปตะ ปาละ และ ศรีวิชัย ที่ตำบลวัด ตำบลยะรัง จังหวัด ปัตตานี และ ซาก ปรัก หักพัง ของสถูป เป็นจำนวนมาก
ที่จังหวัด ยะลา บริเวณ วัดคูหา ภิมุข ถ้ำศิลป์ ถ้ำกำปั่น และ ถ้ำใกล้เคียง พบ พระพิมพ์ ดินดิบ พระพุทธรูป โลหะ ในรูปแบบ สมัย ต่างๆ ตั้งแต่ สมัย คุปตะ ปาละ และ ศรีวิชัย เช่นเดียวกับ ที่ จังหวัด ปัตตานี ศิลป วัตถุ ใน ศาสนาพราหมณ์ และ ศาสนาพุทธ ที่หลงเหลือ อยู่ เหล่านี้ เป็ นประจักษ์ พยาน แสดงถึง การที่ ศาสนา พราหมณ์ และ ศาสนาพุทธ เข้ามา ฝังรกราก อยู่ใน สังคม ของ ชาวเมือง ปัตตานี ในอดีต ประมาณ กาลเวลา โดยอาศัย จดหมายเหตุ ของชาวจีน และ การตีความ จากรูปแบบ ศิลปวัตถุ ประมาณ ๘๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ ปีมาแล้ว
ศาสนาอิสลามเข้าสู่ภาคใต้
ศาสนา อิสลาม มีกำเนิด บน คาบสมุทร อาระเบีย เมื่อปี ค.ศ.๖๒๒ (พ.ศ.๑๑๖๕) ที่เมือง เมกกะ ในสมัย ที่ พระศาสดา นบี มูฮัมมัด ศ็อลฯ ยังมี พระชนม์ชีพ อยู่ มีศูนย์กลาง อยู่ ณ นคร เมดินา ต้น คริสศตวรรษ ที่ ๘ ได้แพร่ เข้าสู่ ประเทศ อินเดีย โดย การนำ ของ มูฮัมมัด อิบน์ อัลกาซิม แม่ทัพ ของกษัตริย์ อับดุล มาลิค กาหลิบ ราชวงศ์ โอเมยาด แห่ง นคร ดามัสคัส ทำให้เกิด รัฐ อิสลาม แห่งแรก ขึ้นใน บริเวณ ลุ่มแม่น้ำ สินธุ
ค.ศ.๙๙๘ (พ.ศ.๑๕๔๑) สุลต่าน มามุด แห่งราชวงศ์ กาซนี ประเทศ อาฟกานิสถาน ได้นำ ศาสนา อิสลาม เข้ามา ยังแคว้น ปันจาบ มีศูนย์กลาง ปกครอง อยู่ที่เมือง ละฮอร์
ต่อมา กษัตริย์ ราชวงศ์ นี้ สูญเสีย อำนาจ ให้แก่ ราชวงศ์ กอรี เชื้อสาย เตอร์ค ในปี ค.ศ.๑๑๗๓ (พ.ศ.๑๗๑๖) ครั้นถึงปี ค.ศ.๑๑๙๒ (พ.ศ.๑๗๓๕) กองทัพ กษัตริย์ โมฮัมหมัด กอรี ได้ชัยชนะ ต่อชาว ฮินดู เป็นผล ให้อำนาจ การปกครอง ของราชวงศ์ กอรี แผ่ ปกคลุม ไปทั่วบ ริเวณ อ่าวเบงคอล พร้อมกับ การขยายตัว ของ ศาสนา อิสลาม เข้าสู่ พื้นที่ ดังกล่าว
ที่แคว้น กุจะราท เมือง เคมเบย์ ประเทศ อินเดีย ซึ่งเป็น ศูนย์การค้า ระหว่าง อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ ติดต่อ กับ จีน และ ประเทศ ในแถบ เอเซีย ตะวันออก เฉียงใต้ มาก่อน ที่พวก มุสลิม จะเดินทาง มาถึง เมื่อ ดินแดน แห่งนี้ ตกมาอยู่ ในความ ครอบครอง ของ กษัตริย์ มุสลิม แล้ว จึงเป็นฐาน สำหรับ ศาสนา อิสลาม เดินทาง ไปสู่ ประเทศ อินโดนีเซีย และ แหลมไทย - มลายู ในขั้น ต่อมา
เมื่อปี ค.ศ.๑๒๙๒ (พ.ศ.๑๘๓๕) มาร์โคโปโล เดินทาง จาก ประเทศจีน กลับ ยุโรป มาแวะ ที่เกาะ สุมาตรา เขา ได้บันทึก ไว้ใน รายงาน การเดินทาง ของเขา ว่า ที่เมือง เปอร์ลัค มีพ่อค้า นับถือ ศาสนา อิสลาม เข้ามา ค้าขาย อยู่เป็น อันมาก จากเมืองเปอร์ลัค เขาเดินทาง ไปพัก อยู่ทาง ตอนเหนือ ของเกาะ คือ เมือง สมุท เป็นเวลา ๕ เดือน เนื่องจาก เป็นฤดู มรสุม ขณะที่ เขาพัก อยู่นั้น ชาวเมือง สมุท ยังไม่ได้ เป็น มุสลิม
หลักฐาน การยอมรับ นับถือ ศาสนา อิสลาม ของชาวเกาะ สุมาตรา ปรากฏ อยู่บนหิน เหนือหลุมศพ ของสุลต่าน มาลิค อัลซาเลห์ ที่เข้ารีต เป็นอิสลาม จารึก แผ่นนี้ บอกปี ค.ศ.๑๒๙๗ (พ.ศ.๑๘๔๐) หลังจาก มาร์โคโปโล ออกจาก เมืองนี้ ไปเพียง ๕ ปี
ชาว มอรอคโค ชื่อ อิบน์บาตูตา ซึ่งเดินทาง ไปมา ระหว่าง ประเทศ อินเดีย กับ จีน ในปี ค.ศ.๑๓๔๕ - ค.ศ.๑๓๔๖ ก็ได้ บันทึก ไว้ว่า สุลต่าน แห่งรัฐ สมุท บนเกาะ สุมาตรา นับถือ ศาสนา อิสลาม ตามแบบ ฉบับ ของ อิมานซา ฤาอีย์ (Sufi) (หรือ นิกาย ซาฟีอีย์) แต่ ดินแดน ใกล้เคียง ยังคง นับถือ ศาสนา อื่นอยู่
ศาสนา อิสลาม เป็นศาสนา ที่สำคัญ ศาสนาหนึ่ง ของโลก มีผู้ นับถือ ไม่น้อยกว่า ๘๐๐ ล้านคน ทาง นิรุกติศาสตร์ "อิสลาม" มีความหมาย ตรงกับ คำว่า ศานติ ความปลอดภัย ความสงบสุข เราเรียก ศาสนิก ของ ศาสนา อิสลาม ที่เป็นชายว่า "สุลิมีน" และ เรียก เพศหญิง ว่า "มุสลิหมะ" เรียก ศาสนิกชน ทั่วไป ว่า "มุสลิม"
ศาสนา อิสลาม มีลักษณะ เป็นเอก เทวนิยม คือ นับถือ พระอัลเลาะฮ์ เพียงองค์เดียว และ มีความเชื่อ ว่า สรรพสิ่ง ในโลกนี้ พระอัลเลาะฮ์ เป็นผู้สร้าง และ ทรง ประทาน โองการ คือ บทบัญญัติ การถือ ปฏิบัติ และ การ ละเว้น ปฏิบัติต่างๆ แก่ชาวโลก ผ่านทาง รอซูล ของพระองค์ มี พระนาบี อาดัม เป็นองค์แรก และ องค์สุดท้าย นาบีมุฮัมมัด รวม ๒๕ พระองค์ จึงครบ บริบูรณ์
ต่อมา สาวก ของ พระนาบี มุฮัมมัด ไ ด้รวบรวม บทบัญญัติ หรือ โองการ ที่พระอัลเลาะห์ ประทาน ให้แก่ รอซูล ในที่ต่างๆ มารวบรวม เป็นคัมภีร์อัล - กุรอาน ซึ่ง เปรียบเทียบ ประหนึ่ง ธรรมนูญ การปกครอง การ ดำเนิน วิถี ชีวิต ของ มุสลิม ควบคู่ ไปกับ พระโอวาท และ จริยวัตร ของท่าน นบี มูฮัมมัด ซึ่งได้ มีผู้ บันทึกไว้ เรียกว่า "หะดิษ" (พระวจะ หรือ โอวาท ของ พระนาบี มุฮัมมัด) และ "ซุนนะ" (จริยวัตร ปฏิบัติ ของ พระนาบี มุฮัมมัด) เพื่อใช ้เป็นแบบอย่าง ในการ ดำเนิน ชีวิต ของ ศาสนิกชน
ในกาล ต่อมา "อิมาน" (ผู้นำ ในการ ประกอบ พิธีกรรม ศาสนา) ได้มี การ วินิจฉัย ตีความ เกี่ยวกับ วัตร ปฏิบัติ ในส่วนย่อย แตกต่าง กันตาม ความคิดเห็น ของตน จึงเกิด การปฏิบัติ ตามอย่าง อิมาน ผู้เป็น ต้นคิด นั้นๆ เช่น ของ อิมาน ต่อไปนี้
อิมานซะฟีอีย์ (เรียกว่า นิกายซะฟีอีย์) 
อิมานมาลีกี (เรียกว่า นิกายมาลิกี) 
อิมานหะนาฟีย์ (เรียกว่า นิกายหะนาฟีย์) 
อิมานฮัมบาลี (เรียกว่า นิกายฮัมบาลี) 
มุสลิม ในภาคใต้ ส่วนใหญ่ นิยม นับถือ ตามแนว ความคิด ของ อิมานซะฟีอีย์ (หรือสะเปอิง)
อุดมการณ์ ของ ศาสนา อิสลาม มีความหมาย ให้มุสลิม บรรลุ ถึงการ มีชีวิต นิรันดร์ ในปรโลก (อาคีเราะฮ์) แนวทาง ที่จะนำ ไปสู่ จุดหมาย ศาสนา อิสลาม จึงเน้น ในเรื่อง การ ปฏิบัติ ตน ตาม ข้อบัญญัติ ขององค์อัลเลาะฮ์ หรือ คัมภีร์อัล - กุรอาน หาก ผู้ใด ละเว้น ก็จะถือ เป็นบาป หรือ พ้นสภาพ จากการ เป็นมุสลิม
ดร.อารง สุทธาศาสน์ กล่าวถึง ศาสนา อิสลาม ในทัศนะ ของชาว ปัตตานี ว่า "ศาสนา อิสลาม มีลักษณะ แตกต่าง จากศาสนาอื่น อยู่ หลายประการ ประการ ที่สำคัญ คือ เป็นศาสนา ที่มี บทกำหนด ความเชื่อ และ การ ปฏิบัติ ทุกแง่มุม มีคำสอน เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ จริยศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ฯ มีคำสอน ทั้งใน ระดับ นโยบาย ทั่วๆ ไป และ ในระดับ การปฏิบัติ ในชีวิต ประจำวัน มีคำสอน เกี่ยวกับ โลกหน้า และโลกนี้ อย่างสมบูรณ์ สรุปแล้ว แทบจะเรียก ได้ว่า ไม่มี พฤติกรรม ใด หรือ แนว ความคิด ใด ของ มนุษย์ ที่จะ พ้น ขอบข่าย ของ ศาสนา อิสลาม"
คำสอน ของ ศาสนา อิสลาม แบ่งออก ได้ ๒ ภาค คือ หลัก ศรัทธา (รุกนอิมาน) และ หลัก ปฏิบัติ (รุกนอิสลาม)
หลักศรัทธา (รุกนอิมาน) มี ๖ ประการ
๑.ศรัทธา ในการมี และ เอกภาพ ของ พระผู้เป็นเจ้า คือ อัลเลาะฮ์ เพียงองค์เดียว ไม่มีสิ่งใดเท่าเทียม
๒.ศรัทธา ในบรรดา มะลาอิกะฮฺ เทวทูต ผู้รับใช้ องค์อัลเลาะฮ์
๓.ศรัทธาในคัมภีร์ (หรืออัล-กุรอาน) ของอัลเลาะฮ์
๔.ศรัทธา ต่อบรรดา รอซูล ขององค์อัลเลาะฮ์ ผู้นำ เอาศาสนา ของพระองค์ มาเผยแพร่ แก่มนุษยโลก
๕.ศรัทธา ในวันสิ้นสุด ของโลกมนุษย์ และ การฟื้นคืนชีพ ของผู้ที่ตายไปแล้ว ว่ามีจริง
๖.ศรัทธา ในกฎ ของอัลเลาะฮ์ ที่กำหนด สภาวะ ความเป็นไป ของมนุษย์ ไว้ว่า ไม่อาจ หลีกเลี่ยง ได้ แต่มนุษย์ มีอิสระ ที่จะเลือก ปฏิบัติ ในสิ่ง ที่ดี และ ชั่ว ได้ตาม สติ ปัญญา ของตน
หลักปฏิบัติ (รุกนอิสลาม มี ๕ ประการ)
๑.ปฏิญาณ ยืนยัน ความศรัทธา ว่า จะเชื่อมั่น ในองค์อัลเลาะฮ์ และ รอซูล ของพระองค์ ไม่มี พระเจ้า อื่นใด
๒.ทำการ ละหมาด แสดง ความภักดี ต่ออัลเลาะฮ์ ด้วยกาย และ จิตใจ อันบริสุทธิ์ วันละ ๕ เวลา
๓.ถือศีลอด ในเดือน รอมฎอน ตั้งแต่ เวลา รุ่งอรุณ ไปจนถึง เวลา ตะวัน ตกดิน และ งดกิน ดื่ม งด การเสพ เมถุน และ หลีกเลี่ยง การทะเลาะ วิวาท การ นินทา กล่าวร้าย
๔.บริจาค ซะกาต (หรือ บริจาคทาน บังคับ) จากผู้มี ทรัพย์สิน ให้แก่ คนยากจน (และ คน ที่มีสิทธิ จะได้รับ ตามที่ กฎหมาย อิสลาม กำหนดไว้)
๕.เดินทาง ไปประกอบ พิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศ ซาอุดิ อารเบีย อย่างน้อย ๑ ครั้ง ในเมื่อมีทรัพย์ และ มีสุขภาพ สมบูรณ์
ศูนย์กลาง การเผยแพร่ ศาสนาอิสลาม บนแหลมไทย - มลายู ซึ่งเป็นที่ ยอมรับ กันทั่วไป คือ มะละกา (ตาม ความเห็น ของ ศาสตราจารย์ ฮอลล์ แต่ เอริเดีย (Eredie) ว่า ปัตตานี และ ปาหัง รับศาสนา อิสลาม ก่อนรัฐ มะละกา สมคิด มณีวงศ์ อ้าง ศิลาจารึก ซึ่งค้นพบ ที่จังหวัด สุโขทัย มีใจความ เกี่ยวกับ คำปฏิญาณ ตน ยอมรับ นับถือ ศาสนา อิสลาม เป็นหลักฐาน ยืนยันว่า ศาสนา อิสลาม แพร่ เข้าสู่ ประเทศไทย ตั้งแต่ สมัย กรุงสุโขทัย เป็นราชธานี (ดู "มุสลิมไทย" ใน สังคมศาสตร์ ปริทัศน์ ปีที่ ๑ ฉบับ ๓ ก.พ.๒๕๐๗) รัฐนี้ เจ้าชาย ปรเมศวร เชื้อสาย ราชวงศ์ ไศเลนทร์ เป็นผู้ สร้างขึ้น ในปี ค.ศ.๑๔๐๓ (พ.ศ.๑๙๔๖) เนื่องมาจาก ทำเล ที่ตั้งเมืองดี สามารถ ควบคุม เรือสินค้า ที่เดินผ่าน ช่องแคบ มะละกา ให้เข้ามา ค้าขาย ในเมืองได้ มะละกา จึงกลายเป็น ศูนย์การค้า ของโลก (สมัยนั้น) เป็นที่ พบปะ แลกเปลี่ยน สินค้า ระหว่าง ประเทศ ตะวันออก กับตะวันตก กล่าวกันว่า ไม่มี สินค้าใด ที่จะ ไม่มี จำหน่าย ในตลาด เมือง มะละกา
ปรเมศวร เป็นกษัตริย์ องค์แรก ของอาณาจักร มะละกา ที่ทรง ยอมเปลี่ยน จากการ นับถือ ศาสนา ฮินดู (ศิวพุทธ) มารับ ศาสนา อิสลาม ในปี ค.ศ.๑๔๑๔ (พ.ศ.๑๙๕๗) และ เปลี่ยน พระนาม เป็น "เมกัตอิสคานเดอร์ชาฮ์" เนื่องจาก พระองค์ ได้อภิเษก สมรส กับ เจ้าหญิง รัฐปาไซ (บนเกาะ สุมาตรา) ที่เป็น มุสลิม
ต่อมา ในสมัย ของสุลต่าน มันสุร์ชาฮ์ ระหว่าง ปี ค.ศ.๑๔๕๙ - ๑๔๗๗ (พ.ศ.๒๐๐๒ - ๒๐๒๐) กองทัพ มะละกา ได้เข้ามา ยึดครอง เมืองปาหัง ตรังกานู กลันตัน และไทรบุรี ซึ่งเป็น เมือง ประเทศราช ของไทย เนื่องจาก สมเด็จ พระบรม ไตรโลกนาถ กำลัง ทำสงคราม ติดพัน อยู่กับ พระเจ้า ติโลกราช แห่งนคร เชียงใหม่ ไม่สามารถ ส่งกองทัพ มาช่วย ป้องกันเมือง เหล่านั้น ไว้ได้ เป็นผล ให้เจ้า ผู้ครอง นครต่างๆ และ พญา อินทิรา ผู้ครองเมือง ปัตตานี ยอมรับ ศาสนา อิสลาม เพื่อโอนอ่อน ผ่อนตาม กษัตริย์ มะละกา
ประวัติ เมืองปัตตานี ว่า พญา อินทิรา มารับ ศาสนา อิสลาม เพราะ ปฏิบัติ ตามสัญญา ที่พระองค์ ให้ไว้ กับนายแพทย์ ชาวเมือง ปาไซ ชื่อ เช็คสะอิด ที่มา รักษา พระองค์ ให้หาย จากโรค ผิวหนัง ประมาณ ปี พ.ศ.๒๐๑๒ ถึงปี พ.ศ.๒๐๕๗ ซึ่งเป็น ระยะ เดียวกับที่ ศาสนา อิสลาม แพร่เข้า ไปสู่ เมืองเกดาห์ ศาสตราจารย์ เบรียญ ฮาร์ริสัน (Brian Harrison) กล่าวว่า "กษัตริย์ เกดาห์ ได้ยอม รับ นับถือ ศาสนา อิสลาม ในปี พ.ศ.๒๐๑๗ (ดู หนังสือ ปัญหา ความขัดแย้ง ใน ๔ จังหวัดภาคใต้ ของ ดร.อารง สุทธาศาสตร์) ศาสนา อิสลาม เข้าสู่ ปัตตานี โดยสายตรง จากพ่อค้า ชาวอาหรับ เป็นผู้ นำเข้ามา หรือผ่าน มาทาง พ่อค้า ชาวอินเดีย อินโดนีเซียนั้น ยังเป็นที่ ถกเถียง กันอยู่ หากพิจารณา จากรูปแบบ พิธี ของศาสนา อิสลาม ในปัตตานี จะเห็นได้ว่า "เป็นแบบอินโด เปอร์เซียน เช่นเดียวกับ ในอินเดีย และ เปอร์เซีย ซึ่งต่าง กับ อิสลาม ในอาระเบีย" (ดูโลกอิสลาม ของ ประจักษ์ ช่วยไล่ หน้า ๒๖๕-๓๖๘) ในแง่ ของ ภาษา จะเห็นได้ว่า ชาวปัตตานี เรียก "ศาสนา" ว่า "อุฆานะ-อุฆามา" ซึ่งเป็นคำ ภาษา สันสกฤต แทนคำว่า "อาดีล" ในภาษา อาหรับ และเรียก การถือ ศีลอด ว่า "บัวซา" แทนคำ "อัส, ซาม์" ฯ จึงเป็น ที่น่า สังเกต ว่า ชาวเมือง ปัตตานี ในอดีต น่าจะ ได้รับ ศาสนา อิสลาม ผ่านทาง มุสลิม อินเดีย และ ชวา สุมาตรา จึงได้ใช้ ภาษา สันสกฤต แทนคำ ใน ภาษา อาหรับ ปะปน อยู่ ในการ เรียกชื่อ ศาสนา และ พิธีกรรม ต่างๆ เช่น เรียก พิธี สุนัต ว่า "มาโซะ ยาวี" (หมายถึง การเข้ารับ ศาสนา อิสลาม ร่วมกับ ชาว ชวา)
วัฒนธรรม
วัฒนธรรม ในความหมาย โดยทั่วไป คือ "แนวทาง การดำรง ชีวิต ของสังคม หรือ ของกลุ่ม แต่ละกลุ่ม ที่สืบทอด จากรุ่นหนึ่ง ไปอีก รุ่นหนึ่ง อย่างไม่ขาดสาย วัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ แต่ละ สังคม ถือว่า เป็นสิ่ง ที่ดีงาม เป็นแบบฉบับ ของชีวิต ซึ่ง คนส่วนมาก หวงแหน และ ปกปักษ์ รักษา" เมื่อเป็น เช่นนี้ วัฒนธรรม กับ ศาสนา ก็คือ เรื่องเดียวกัน แยกกัน ไม่ออก เพราะ ส่วนหนึ่ง ของ ศาสนา (อิสลาม) คือ แนวทาง การดำรง ชีวิต ที่สังคม (มุสลิม) ถือว่า ถูกต้อง ซึ่ง ถ้ามอง อีกแง่หนึ่ง ก็คือ วัฒนธรรม ของ สังคม นั่นเอง
ความเชื่อ และ หลักปฏิบัติ ประจำวัน ของชาวไทย มุสลิม ในสี่จังหวัด ภาคใต้ มีแหล่ง ที่มา สองทาง คือ
๑.จากบทบัญญัติ คำสอน ทางศาสนา โดยตรง และ
๒.จากจารีต ประเพณี และ การปฏิบัติ ตั้งแต่ ดั้งเดิม ซึ่งสืบทอด มาจนถึง ปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ทั้งสองแหล่ง มีความ กลมกลืน ประสานกัน อย่างแนบแน่น สนิท ชาวบ้าน ธรรมดา อาจจะแยก ไม่ออก ว่า ส่วนใด มาจาก บทบัญญัติ (ของศาสนา) โดยตรง และ ส่วนใด มาจาก จารีต ประเพณี ส่วนมากแล้ว ถือว่า แนวทาง การปฏิบัติ ทุกอย่าง ในชีวิต ประจำวัน ล้วนมี นัยสำคัญ ทางศาสนา ทั้งสิ้น ถ้ามีการ ฝ่าฝืน หรือ เบี่ยงบ่าย แล้ว มักจะ มีบาป (ดู ปัญหา ความขัดแย้ง ใน ๔ จังหวัด ภาคใต้ ของ ดร.อารง สุทธาศาสน์)
ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ประเพณี วัฒนธรรม ท้องถิ่น ได้มี การละเว้น ปฏิบัติ ตามที่ ยึดถือ สืบทอด กันมา เนื่องจาก การเปลี่ยนแปลง ของ สังคม การศึกษา การแพร่ ของ วัฒนธรรม ภายนอก เข้ามา เช่น ประเพณี การทำบุญ เพื่อ อุทิศ ส่วนกุศล ให้แก่ ผู้ตาย เดิม มีการ กำหนด ระยะ เวลา ทำบุญไว้ ๓ วัน ๗ วัน ๔๐ วัน และ ๑๐๐ วัน หลังจาก ผู้ตาย ตายจากไป บางท้องที่ ก็ได้รับ การแนะนำ จากผู้นำ ท้องถิ่น ให้ละเว้น เสีย แต่บางที่ ก็ยังคง ปฏิบัติ กันอยู่
ประเพณี โกนผมไฟ พิธี เปิดปาก ทารก พิธี นำเด็ก ขึ้นเปล และ นำเด็ก ลงล่าง ย่างดิน การไว้ผมแกละ ของเด็กชาย ประเพณี เลือกที่ดิน สร้างบ้าน ปลูกเรือน ประเพณี ไล่ห่า (ตอเลาะ บาลอ)ฯ ซึ่งเป็น ประเพณี ที่สืบทอด กันมา ทั้งใน สังคม ไทยมุสลิม และ สังคม ไทยพุทธ ปัจจุบัน ต่างฝ่าย ต่างก็ ละเว้น ปฏิบัติ กันไป ตาม กาลสมัย โดยเฉพาะ คนรุ่นใหม่ ที่มี การศึกษา สูงขึ้น สิ่งที่ ยังคง หลงเหลืออยู่ ก็คือ เรื่องโชค วาสนา และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (keramat) วิญญาณ บรรพบุรุษ ที่เชื่อกันว่า สามารถ บันดาล คุณและโทษ ให้แก่ มนุษย์ได้ แม่จะ เป็นข้อห้าม ของมุสลิม คือ ห้าม การบูชา รูปเจว็ด ดวงดาว โขดเขา ต้นไม้ ก้อนวัตถุ ธาตุใดๆ หากผู้ใด ฝ่าฝืน ก็จะ ขาดจาก สภาพ การเป็น มุสลิม ก็ตาม เรายัง พบเห็น การปฏิบัติ กันอยู่ ในกลุ่มคน บางหมู่ ตามชนบท ทั่วไป เช่นเดียว กับชาวไทย ที่นับถือ พุทธศาสนา
ปอเนาะ สถาบันเผยแพร่ศาสนาอิสลาม :
ปอเนาะ เป็น สถาบัน เผยแพร่ ศาสนา อิสลาม ใน ภาคใต้ หลักการ ของ อิสลาม ถือว่า มุสลิม ทุกคน มีหน้าที่ ที่จะต้อง ศึกษา และ เผยแพร่ ศาสนา ของตน ผู้ใด มีความรู้ แต่ไม่ยอม เผยแพร่ ให้แก่ ผู้อื่น ถือว่า เป็นบาป ดังนั้น การเรียน การสอน ศาสนา จึงตกเป็น ภาระ หน้าที่ ของ ผู้นำ ครอบครัว ต้อง จัดให้ บุตรหลาน ของตน ได้รับ การศึกษา วิชา ศาสนา ตั้งแต่ อยู่ใน วัยเยาว์ เริ่ม ตั้งแต่ บ้าน หรือ สำนัก สอน ศาสนา ของ ผู้ทรง คุณวุฒิ ในหมู่บ้าน ไปจนถึง ปอเนาะ สถาบัน การเรียน การสอน ศาสนา ชั้นสูง ซึ่ง เป็นที่ ยอมรับ นับถือ ของ สังคม มุสลิม ในภาคใต้ มาแต่อดีต
มูฮัมหมัด กาโรส บินเซอ นาวี แห่งรัฐ กลันตัน กล่าวว่า "ระบบ การเรียน ศาสนา ซึ่ง เป็นที่ รู้จัก กันว่า "ปอเนาะ" ที่มี อยู่ใน สถานที่ ต่างๆ ใน มาเลเซีย นับเป็น ระบบ ที่ได้รับ การถ่ายทอด ไปจาก ประเทศไทย ซึ่ง เป็นแหล่ง สอน ศาสนา ที่ ชาวมุสลิม ได้จัดตั้งขึ้น ระบบ การสอน แบบนี้ เลียนแบบ จาก ระบบ พระสงฆ์ ใน พระพุทธ ศาสนา เพราะ เป็น การศึกษา ค้นคว้า หลักศาสนา ที่ พยายาม ปลีกตัว ออกห่าง จาก สังคม อัน สับสน ข้อนี้ สามารถ พูดได้ อย่าง เต็มปาก ว่า ระบบ การสอน แบบ ปอเนาะ ไม่เคย ปรากฏ ขึ้น เลย ใน ประเทศ กลุ่มมุสลิม แน่นอน ที่สุด มลายู ได้รับ อิทธิพล ไปจาก เมืองไทย" (ปัตตานี) (ดู อิทธิพล วัฒนธรรม ไทย ต่อ ชาติ มลายู ของ หะสัน หมัดหมาน วารสาร รูสมิแล ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๓ กรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๑๗)
สถาบัน ปอเนาะ ที่กล่าวนี้ บุคคล ผู้ทรง คุณวุฒิ ทาง ศาสนา อิสลาม เป็นผู้ สร้างขึ้น และ ตั้งตน เป็น เกจิ อาจารย์ เรียกว่า โต๊ะครู ทำการ อบรม สั่งสอน เผยแพร่ ศาสนา โดย มิได้รับ ค่าตอบแทน เพียงเพื่อ ผลบุญ ในปรภพ และ เกียรตินิยม จากการ ยอมรับ ของ สังคม มุสลิม
นักศึกษา ที่มาจาก ท้องถิ่น ห่างไกล จะต้อง มาปลูก กระท่อม หลังเล็กๆ (เรียกว่า ปอเนาะ) เป็นที่พัก อาศัย อยู่เป็น กลุ่มๆ ใน บริเวณ บ้าน ของ โต๊ะครู และ จัดหา เครื่องบริโภค อุปโภค มาใช้สอยเอง สถานที่เรียน ใช้ บาไล หรือ บ้านโต๊ะครู เป็นที่สอน ต่อมา เมื่อมี ผู้เรียน มากขึ้น จึง สร้าง เป็น อาคารเรียน เอกเทศ ถาวร ขึ้นมา ซึ่ง ขึ้นอยู่กับ ฐานะ เศรษฐกิจ ของ สังคม ที่ ปอเนาะ ตั้งอยู่
วิชาที่สอนได้แก่
- วิชาฝึกหัดอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน ให้ถูกต้องและเข้าใจในความหมาย
- วิชา เตาฮิต ว่าด้วยเอกภาพของอัลเลาะฮ์ และคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ และพระนาบี
- วิชาฟิกฮี ว่าด้วยข้อควรและไม่ควรปฏิบัติของมุสลิมและวิธีปฏิบัติศาสนกิจ
- วิชาภาษาอาหรับและภาษามลายู
- วิชาว่าด้วยจริยธรรมอิสลามและวิชากฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัว - มรดกและอื่นๆ
ปัตตานี เป็นแหล่ง กำเนิด ปอเนาะ เป็นศูนย์ การ เผยแพร่ ศาสนา อิสลาม ที่สำคัญยิ่ง ของประเทศไทย มี นักศึกษา จาก จังหวัด ต่างๆ ทั้ง ภาคกลาง และ ภาคใต้ เข้ามา ศึกษา และ นำเอา ระบบ การเรียน การสอน ไปใช้ ในจังหวัด ของตน จนแพร่หลาย
ในปี พ.ศ.๒๕๐๔ รัฐบาล ได้เข้ามา ช่วยเหลือ ส่งเสริม การเรียน การสอน และ เผยแพร่ ศาสนา อิสลาม ในปอเนาะ ให้ได้ผล ดียิ่งขึ้น ด้วยการ มอบหมาย ให้ศูนย์ พัฒนา การศึกษา เขตการศึกษา ๒ จังหวัดยะลา เป็นผู้ ดำเนินการ ปรับปรุง วิธีสอน การเรียน ของ นักศึกษา ให้มี ประสิทธิภาพ สูงขึ้น
ขั้นแรก ได้จัด ประชุม สัมมนา โต๊ะครู วาง "ระเบียบ กระทรวง ศึกษาธิการ ว่าด้วย การ ปรับปรุง ส่งเสริม ปอเนาะ ในภาค ศึกษา ๒ พ.ศ.๒๕๐๔" ขึ้นมาใช้
วัตถุ ประสงค์ ของ ระเบียบการนี้ คือ ให้ปอเนาะ มีหลักสูตร การเรียน การสอน มีชั้นเรียน และ มีการ ประเมินผล การเรียน ในชั้น ตัวประโยค โดย กระทรวง ศึกษาธิการ ให้การ อุดหนุน แก่ ปอเนาะ ทางด้าน การเงิน วัสดุ อุปกรณ์ การศึกษา และ ส่ง วิทยาการ เข้าไป ช่วยเหลือ
ขั้นที่ ๒ ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๐๘ - พ.ศ.๒๕๑๒ รัฐบาล ก็ได้ ดำเนินการ แปรสภาพ ปอเนาะ ที่ปรับปรุง ดีแล้ว ขึ้นเป็น โรงเรียน สอนศาสนา อิสลาม ตาม พระราช บัญญัติ โรงเรียนราษฎร์ ปอเนาะใด โต๊ะครู เจ้าของ โรงเรียน มีความ สมัครใจ แปรสภาพ ปอเนาะ เป็น โรงเรียน ราษฎร์ ก็จะ ได้รับ การช่วยเหลือ สนับ สนุน ทั้งทาง การเงิน อุปกรณ์ การเรียน การสอน และครู ช่วยสอน และ ยังได้รับ พระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าของ ปอเนาะ และ โรงเรียน ราษฎร์ สอนศาสนา ที่มี ผลงาน ดีเด่น เข้าเฝ้า รับพระราชทาน รางวัล ประจำปี อีกด้วย
ปัจจัย สำคัญ ปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ ศาสนา อิสลาม เจริญ รุ่งเรือง แผ่ขยาย ไปทั่ว ภูมิภาค นี้ เห็นจะ ไม่มี สิ่งใด นอกเหนือ ไปจาก ความมี น้ำพระทัย กว้าง ของ พระมหากษัตริย์ ไทย ทุกยุค ทุกสมัย นอกจาก ให้ เสรีภาพ แก่ประชาชน เลือกนับถือ ศาสนา ได้โดย เสรีแล้ว ยังทรง รับเป็น องค์อุปถัมภ์ แก่ศาสนา ทุกศาสนา ดังจะเห็น ได้จาก คำกล่าว ของ ลาลูแบร์ เอก อัครราช ทูต ฝรั่งเศส ที่กล่าวถึง พิธี แห่เจ้าเซน พิธีกรรม ศาสนา อิสลาม นิกาย ชีไอท์ ที่ ชาวเปอร์เซีย ซึ่งเข้ามา พำนัก อาศัย อยู่ใน กรุงศรีอยุธยา จัดขึ้น เพื่อระลึกถึง อิมาน ฮูเซ็น ในเดือน มุฮะรัม ทุกๆ รอบปีว่า
"เป็น พิธีการหนึ่ง ที่อยู่ ในความ อุปถัมภ์ ของ สมเด็จ พระนารายณ์ มหาราช"
โดยเฉพาะ พระบาท สมเด็จ พระเจ้า อยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดชฯ นั้น ทรงให้ ความ สนพระทัย เป็นพิเศษ ต่อชาว มุสลิม และ ศาสนา อิสลาม ทุกปี จะเสด็จ พระราชดำเนิน มาประทับ ณ พระตำหนัก ทักษิณ ราชนิเวศน์ เพื่อ เยี่ยมเยียน ชาวไทย มุสลิม ภาคใต้ ทรงคิดค้น โครงการ หมู่บ้าน ปศุสัตว์ เกษตร พัฒนาดิน น้ำ เพื่อช่วย ราษฎร ให้มี ที่ทำกิน ส่งครู มาช่วย ฝึกอบรม วิชาชีพ และ ทรง สละ พระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์ จัดพิมพ์ พระคัมภีร์ อัลกุรอาน พระราชทาน แก่ชาว มุสลิม สำหรับ ใช้ศึกษา ค้นคว้า เสด็จ ร่วม กิจกรรม ในงาน วันสำคัญ ทางศาสนา อิสลาม พระราชทาน ที่ดิน และ พระราชทาน ทรัพย์ เพื่อสร้าง มัสยิดฯ
พระราช กรณียกิจ ดังกล่าวมานี้ ย่อมชี้ ให้เห็นว่า สถาบัน พระมหากษัตริย์ เป็นพลัง สำคัญ ในการ ส่งเสริม เผยแพร่ ศาสนา อิสลาม พลังหนึ่ง จาก อดีต ตราบเท่า ถึง ปัจจุบัน
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ :
โปรตุเกส เป็นชาว ตะวันตก ชาติแรก ที่เข้ามา มีความ สัมพันธ์ กับเมือง ปัตตานี หลังจากที่ โปรตุเกส เข้ายึดครอง เมืองมะละกา จาก สุลต่าน โมฮัมหมัด ขณะที่ เมืองมะละกา กำลัง เป็นศูนย์ การค้า ระหว่าง ซีกโลก ตะวันตก กับ ตะวันออก ในปี พ.ศ.๒๐๕๔ บรรดา พ่อค้า ชาวอาหรับ เปอร์เซีย และอินเดีย ที่ ไม่พอใจ พวก โปรตุเกส ที่เข้ามา แย่งชิง กิจการค้า ของตน ซึ่งกำลัง เฟื่องฟู อยู่ ต่างก็ หันเห มาใช้ เมืองปัตตานี ขณะนั้น มีพ่อค้า ชาวจีน และ ญี่ปุ่น เข้ามา ค้าขาย อยู่ก่อน แล้ว ทั้งสินค้า ของชาวจีน และ ญี่ปุ่น เข้ามา ค้าขาย อยู่ก่อนแล้ว ทั้ง สินค้า ของ ชาวจีน และ ญี่ปุ่น ก็เป็นที่ ต้องการ ของชาว ตะวันตก อีกด้วย เช่น เครื่องถ้วยชาม แพร ไหม และ ทองแดง โปรตุเกส เอง ก็ต้องการ ได้สินค้า จากประเทศ จีน และ ญี่ปุ่น เพื่อส่งไป จำหน่าย ในตลาด ประเทศ ตะวันตก อัลบูเกิกร์ ผู้สำเร็จ ราชการ เมืองมะละกา จึงส่ง ดวตเต ฟอร์นันเด มาเฝ้า สมเด็จ พระรามา ธิบดีที่ ๒ เพื่อ ขออนุญาต เข้ามา ทำการ ค้าขาย กับเมืองท่าต่างๆ ในแหลมมลายู ซึ่งเป็น ประเทศราช ของไทย ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๐๕๙ โปรตุเกส จึงส่ง นาย มานูเอล ฟัลเซา เข้ามา ตั้งห้างร้าน ค้าขาย ขึ้นใน เมืองปัตตานี เป็นครั้งแรก
ต่อมา โปรตุเกส เกิดกรณี พิพาท กับชนชาติ ฮอลันดา จนกระทั่ง ต้องเสียเมือง มะละกา ให้แก่ ชาวฮอลันดา ในปี พ.ศ.๒๑๘๔ ชาวโปรตุเกส จึงต้อง เลิกกิจการค้า ของตน ในแหลม มลายู รวมทั้ง สถานี การค้า ที่เมือง ปัตตานีอีกด้วย รวม ระยะเวลา ที่โปรตุเกส เข้ามา ตั้งสถานี การค้า อยู่ใน ปัตตานี ถึง ๑๒๕ ปี
ฮอลันดา ชาวฮอลันดา เป็นชาติ ที่สอง รองจาก ชาติโปรตุเกส ที่เข้ามา ค้าขาย ในเมือง ปัตตานี ในปลาย รัชสมัย สมเด็จ พระนเรศวร มหาราช เมื่อปี พ.ศ.๒๑๔๔ - ๒๑๔๕ โดย กัปตัน วันเน็ค ได้นำเรือ แอมสเตอร์ดัม (Amsterdam) และ เรือกูดา (Gouda) เข้ามา เจรจา กับ เจ้าหญิง ฮียา เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๑๔๔ เพื่อขอ อนุญาต จัดตั้ง สถานี การค้า ขึ้น มีนายดาเนียล วันเดอร์เล็ค (Daniel Vanderlek) รับหน้าที่ เป็นหัวหน้า สถานี การค้า และ นายปีเตอร์ วอลิคส์ (Pieter Walieksx) เป็นผู้ช่วย ทำการ ค้าขาย ติดต่อ ระหว่าง อยุธยา - ปัตตานี - ไทรบุรี - นครศรีธรรมราช - สงขลา - ภูเก็ต และ เมืองบันตัม ในเกาะชวา
สินค้า ที่ฮอลันดา ต้องการ ได้แก่ ดีบุก หนังกวาง ไม้ฝาง ข้าวสาร ข้าวเปลือก หนังปลากระเบน เพื่อนำไป จำหน่าย แก่ประเทศ ญี่ปุ่น
ในสมัย พญาบีรู ปกครอง เมือง ปัตตานี นางพญา มีความขัดแย้ง กับ กษัตริย์ อยุธยา คือ พระเจ้า ปราสาททอง เนื่องจาก นางพญาบีรู รังเกียจ พระเจ้า ปราสาททอง ว่า ได้ราชสมบัติ มาโดย มิชอบ "เป็นคนชิง ราชสมบัติ (จากพระอาทิตยวงศ์)" พระนาง จึงไม่ยอม ส่ง เครื่องราช บรรณาการ ไปถวาย ตามราชประเพณี ของเมือง ประเทศราช นายแอนโทน์ เคน ได้ชี้แจง ให้เหตุผล ต่อพระนาง ว่า "การค้าขาย ไม่อาจ ดำเนิน ไปได้ เนื่องมาจาก การเกลียดชัง ต่อประเทศ สยาม" แต่นางพญาบีรู ก็หา ได้เชื่อฟังไม่ พระเจ้า ปราสาททอง จึงส่ง กองทัพ มาตี เมือง ปัตตานี ล้อมเมืองไว้ ๑ เดือน จนกระทั่ง หมด เสบียง อาหาร จึงถอย กองทัพ กลับไป
หลังจาก เจ้าหญิงบีรู สิ้นพระชนม์ แล้ว เจ้าหญิงอูงู ซึ่งได้รับ การสถาปนา ขึ้นเป็น เจ้าเมือง ปัตตานี ก็ได้รับ การไกล่เกลี่ย จากเจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช และ เจ้าเมือง ไทรบุรี พระนาง จึงยินยอม ส่งทูต ไปขอขมาโทษ ต่อพระเจ้า ปราสาททอง สงคราม จึงได้ ยุติลง
นายฟอนฟลีต (วันวลิต) ได้บันทึก เรื่องราว เกี่ยวกับ พระราชอำนาจ การตัดสิน พระทัย ของพระนาง ในนโยบาย การเมือง ซึ่งแตกต่าง ไปจาก ข้อเขียน ของ นายนิโกลาส์ แชร์แวส ชาวฝรั่งเศส ที่เขียนไว้ ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และ การเมือง แห่ง ราชอาณาจักร สยาม นิโกลาส์ กล่าวว่า "ประชาชน ปัตตานี นั้น ครั้นเบื่อหน่าย ต่อการ ที่ถูก เจ้าประเทศ บีบคั้น เอาแล้ว จึงได้ ดำเนินการ สลัดแอก และ โค่นกษัตริย์ องค์ปัจจุบัน ลงจาก ราชบัลลังก์ แล้วสถาปนา เจ้าหญิง องค์หนึ่ง แทนที่ ตั้งให้ เป็นนางพระยา แต่ก็ มิได้ ถวาย พระราชอำนาจ ให้เลย พวกเขา เลือก ผู้ทรง คุณวุฒิ ขึ้นบริหาร ราชการ แผ่นดิน ในพระนามาภิไธย ที่พระนาง ไม่ต้อง เข้าไป เกี่ยวข้อง กับ ราชการ งานเมือง เลย เพียงแต่ ได้รับ การยกย่อง นับถือ ให้เป็น เจ้านาย เท่านั้น"
ข้อเขียน ของ นายฟอนฟลีต (วันวลิต) ซึ่งได้ มีโอกาส เข้าเฝ้า นางพญาอูงู เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๑๘๕ และ ได้บันทึก ถ้อยคำ ที่นางพญา ตรัส โต้ตอบ กับ นายฟอนฟลีตไว้ แสดงถึง ความมี พระราชอำนาจ ทางด้าน การเมือง อันเต็มเปี่ยม ความว่า "การกระทำ ของบรรดา เจ้าเมือง ปัตตานี คนก่อนๆ พระนางนั้น ได้ถูก ลืมเลือน ไปแล้ว และหลังจาก ที่พระนาง ทรงสืบ ราชสมบัติ แล้ว ไม่นานนัก ก็ทรงทำ สันติ ไมตรี กับพระเจ้า แผ่นดิน สยาม โดยมิได้ ใช้ค่า เสียหาย แต่อย่างใด และว่า พระนาง ก็ทรง ต้องการ ปฏิบัติ ในวิธี เดียวกัน กับท่าน ผู้สำเร็จ ราชการ (ฮอลันดา) ด้วย"
การค้า ของ ฮอลันดา ในระยะแรก ต้องประสพ ปัญหา อยู่ หลายประการ ประการแรก คือ ถูกชาว โปรตุเกส ชาวจีน และ ชาวญี่ปุ่น กีดกัน ประการที่สอง เรื่องเงินทุน ซึ่งมัก ขาดแคลน บ่อยๆ นายคอร์เนลิส ฟอนนิวรุท หัวหน้า สถานี การค้า ต้องขอยืมเงิน จากเจ้าหญิง ฮียา เพื่อซื้อ เส้นไหม จากพ่อค้าจีน มาเก็บ สำรองไว้ แต่ต่อมา เมื่อฮอลันดา รวบรวม เงินทุน จัดตั้ง เป็นบริษัท ดัชอีสต์ อินเดีย ขึ้นมาแล้ว กิจการค้า ของ ฮอลันดา ก็ประสพ ความสำเร็จ เป็นอย่างดี ทั้งที่ อยุธยา และ ปัตตานี (จากการ เก็บข้อมูล จากเศษ ถ้วยชาม ตามบริเวณ ที่ตั้ง ชุมชน โบราณ และท่าเรือ บ้านตันหยง ลุโละ ในจังหวัด ปัตตานี พบเศษ ถ้วยชาม อันเป็น สินค้า ของฮอลันดา มีจำนวน ไล่เลี่ย กับของจีน)
สินค้า พื้นเมือง จำพวก สมุนไพร ของปัตตานี ที่ปรากฏชื่อ อยู่ใน เอกสาร ของฮอลันดา ได้แก่ ขิง น้ำตาล พริกไทย และ sarrassas (ซะราเซะ หรือ กะเพรา) นายสปรินซ์เคล เจ้าหน้าที่ สถานี การค้า เมืองปัตตานี รายงาน ไปถึง นายมาทีโอโคตัลส์ และ นายมาทีโอฯ ได้เขียน มาแจ้ง ให้ นายเอชแวนส์เซน ที่ปัตตานี เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๑๕๖ ความว่า "ตามที่ นายปรินซ์เคล ว่าปีนี้ sarrassas งดงามมาก แต่ราคา ไม่คงที่"
ฮอลันดา เลิกสถานี การค้า ในปัตตานี เมื่อปี พ.ศ.๒๑๘๕ เนื่องจาก ฮอลันดา เข้ามา ตั้งสถานี การค้า ของตน อยู่ในเมือง ปัตตานี เวลา ๔๑ ปี
อังกฤษ บริษัท อิสต์อินเดีย ของอังกฤษ ได้ส่ง กองเรือ โดยการนำ ของกัปตัน จอนเดวิส มาสำรวจ เมืองปัตตานี เพื่อตั้ง สถานี การค้า ของตน ขึ้น ในเมืองนี้ เมื่อปี พุทธศักราช ๒๑๔๘ แต่กองเรือ ของอังกฤษ ถูกโจรสลัด ญี่ปุ่น โจมตี ในอ่าว หน้าเมือง ปัตตานี ทำให้ กัปตัน จอนเดวิส ได้เสีย ชีวิต ลงทันที ต่อมา กัปตัน แอนโธนี ฮิปปอน ก็ได้นำ เรือโกลป์ เข้ามาสู่ เมืองปัตตานี อีกครั้ง เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๑๕๔ แอนโธนี ฮิปปอน ได้เข้าเฝ้า นางพระยา ฮียา ขอตั้ง สถานี การค้า ขึ้นใน เมืองปัตตานี เป็นผลสำเร็จ แต่ตัวกัปตัน เกิดล้มป่วย ถึงแก่กรรม อย่างกระทันหัน หลังจาก เจรจา ทำความ ตกลง กับนาง พระยา ฮียาได้เพียง ๑๕ วัน โทมัส เอสซิงตัน จึงรับ หน้าที่ แทนกัปตัน แอนโธนี ฮิปปอน ได้เดินทาง เข้าไปเฝ้า สมเด็จ พระเอกา ทศรถ ขอพระราชทาน ที่ดิน เพื่อจัดตั้ง สถานี การค้า ขึ้น ทั้งใน กรุงศรีอยุธยา และ ที่เมือง ปัตตานี ซึ่ง สมเด็จ พระเอกา ทศรถ ก็ทรง พระกรุณา ประทานให้
สถานี การค้า ของอังกฤษ ก็เริ่ม ดำเนิน กิจการ ในเมือง ปัตตานี เมื่อปี พ.ศ.๒๑๕๕ นายปีเตอร์ ฟอลริส ได้รับตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ชื่อลูกัส (Lucus Antheunis) ต่อมา นายลูกัส ได้ย้าย ไปประจำ อยู่ที่ สถานี การค้า ที่กรุงศรีอยุธยา การค้า ที่กรุงศรี อยุธยา และ ปัตตานี ขณะนั้น คึกคักมาก มีเรือ สินค้า ของชาติ ต่างๆ ไปมา ค้าขาย กันขวักไขว่ เฉพาะ เรือสินค้า ของอังกฤษ ที่เข้าออก ประจำ ได้แก่ เรือ Daling, Cloue, Hector, Peppecorn, Solomon และ James รวม ๖ ลำ
หัวหน้า สถานี การค้า ที่ปัตตานี คนต่อมา ได้แก่ นายอาดัม เค็นตัน นาย Benjamin และ John Gurney
ในปี พ.ศ.๒๑๖๑ เกิดยุทธนาวี ขึ้นระหว่าง เรือรบ อังกฤษ กับ เรือรบ ฮอลันดา ครั้งแรก เรือรบ อังกฤษ ๒ ลำ คือ แซมป์ซัน และ เฮาวน์ ในการ บังคับ บัญชา ของกัปตัน จอน จูรเดน ได้ทำการ ยึดเรือ ของ ฮอลันดา ชื่อ แบล็คไลออน ไว้
ต่อมา ฮอลันดา ได้ส่ง เรือรบ ของตน มา ๓ ลำ เข้ารุมล้อม โจมตี เรืออังกฤษ ทั้งสองลำ ในเดือน กรกฎาคม ในขณะที่ จูรเดน เจรจา ขอยอม จำนน ก็ถูกพวกเฟลมมิงยิงด้วยปืนคาบศิลาถึงแก่ความตาย ลูกเรือถูกฮอลันดาจับไปเป็นเชลย ที่เหลือรอด มาได้ ก็เนื่องจาก ไปขอ ความคุ้มครอง จากเจ้าหญิง ฮียา ตั้งแต่นั้นมา กิจการค้า ของอังกฤษ ในเมืองปัตตานี ก็ถูก พวกฮอลันดา คอยขัดขวาง ทำให้ กิจการ ซบเซา ลงเรื่อยๆ ในที่สุด บริษัท อิสต์อินเดีย จึงมีมติ ให้เลิก สถานี การค้า ใน ปัตตานี เสียในปี พ.ศ.๒๑๖๖ รวมเวลา ที่อังกฤษ เข้ามาตั้ง สถานี การค้า อยู่เพียง ๑๑ ปี
ญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่น เข้ามา ค้าขาย ณ เมืองปัตตานี ในเวลา ไล่เลี่ย กับชาวจีน (เซอรเออเนสต์ ซาเตา ว่า ญี่ปุ่น เข้ามา ค้าขาย ยังเมือง ปัตตานี ราว พ.ศ.๒๑๓๕ ในเวลา เดียวกัน เรือสำเภา ของปัตตานี ก็เข้าไป ค้าขาย ถึงประเทศ ญี่ปุ่น) นอกจาก จะเป็น พ่อค้า แล้ว นายสำเภา ชาวญี่ปุ่น ยังทำตัว เป็นโจรสลัด คอยตี ชิงปล้น เรือสินค้า อีกด้วย สลัด ญี่ปุ่น ใช้อ่าว เมืองปัตตานี เป็นแหล่ง แอบซุ่ม โจมตี เรือสินค้า ชาวต่างประเทศ นักเดินเรือ ผู้มี ชื่อเสียง ของอังกฤษ คือ กัปตันจอน เดวิส ก็ถูก โจรสลัด ญี่ปุ่น ทำการ ปล้นเรือ ของเขา เมื่อปี พ.ศ.๒๑๔๘ ในขณะ เข้ามา สำรวจ เมืองปัตตานี เพื่อจัดตั้ง คลังสินค้า ของบริษัท อีสต์อินเดีย ขึ้นใน เมืองนี้
สินค้า ญี่ปุ่น ที่เป็นที่ ต้องการ ของตลาด เมืองปัตตานี ขณะนั้น ได้แก่ ทองแดง เครื่องถ้วย ฉากญี่ปุ่น ส่วนสินค้า ที่ชาว ญี่ปุ่น ต้องการซื้อ ได้แก่ ดินปืน ปืนใหญ่ หนังกวาง หนังปลา กระเบน และ ไม้หอม จำพวก ไม้กฤษณา และ ไม้จันทน์ แต่ละปี จะมี เรือสำเภา ญี่ปุ่น เข้ามา แวะที่ เมือง ปัตตานี ปีละ หลายลำ โดยเฉพาะ สำเภา ของพ่อค้า ที่มาจาก หมู่เกาะ ริวกิว จนกระทั่ง เมืองปัตตานี สมัยนั้น ได้ สมญานาม ว่า "เป็นเมืองท่า สองพี่น้อง ระหว่าง เมืองฮิราโดะ ของญี่ปุ่น" ดังนั้น พ่อค้า ชาวญี่ปุ่น จึงเป็น คู่แข่งขัน แย่งชิง ซื้อขาย สินค้า กับพ่อค้า ชาวฮอลันดา และ อังกฤษ อยู่เสมอ จนกระทั่ง คราวหนึ่ง ชาวญี่ปุ่น ได้ลอบ เข้าไป วางเพลิง เผาโกดัง สินค้า ของชาว ฮอลันดา เสียหาย ยับเยิน ชาวญี่ปุ่น อยู่ใน เมือง ปัตตานี นานเท่าไร ไม่ปรากฏ หลักฐาน เมื่อเกิด สงครามโลก ครั้งที่ ๒ (สงคราม มหาเอเซีย บูรพา) ข้าพเจ้า ได้รู้จัก กับพ่อค้า ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็น ทันตแพทย์ ตั้งคลีนิค อยู่ที่ร้าน เฉาะเฉิน ในตลาด เขตเทศบาล เมืองปัตตานี และ เจ้าของร้าน นานเชนโชไก จำหน่าย ถ้วยชาม ชั้นดี ของญี่ปุ่น อยู่ที่ ถนนปรีดา ซึ่งทราบ ภายหลัง ว่า พ่อค้า เหล่านี้ ล้วนเป็น จารชน เข้ามา ทำการ วางแผน ยึดเมือง ปัตตานี เพื่อใช้ เป็นหัวหาด ยกพล ขึ้นบก ผ่านไป ตีประเทศ สิงคโปร์ หลังจาก สงคราม มหาเอเซีย บูรพาแล้ว ไม่ปรากฏว่า ชาวญี่ปุ่น เข้ามา ค้าขาย ในเมือง ปัตตานี อีกเลย
ในรัชสมัย สมเด็จ พระเจ้า ปราสาททอง เมืองนครศรี ธรรมราช ปัตตานี สงขลา เป็นกบฏ ไม่ยอม ส่งเครื่องราช บรรณาการ ตามราชประเพณี สมเด็จ พระเจ้า ปราสาททอง แต่งตั้ง ให้ออกญา เสนาภิมุข (ยามาดา นางามาสา) ออกไปเป็น เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช ออกญา เสนาภิมุข ได้นำ กองทัพ จากเมือง นครศรี ธรรมราช มาร่วมกับ กองทัพกรุงฯ มาปราบ เมืองปัตตานี ออกญา เสนาภิมุข (ยามาดา นางามาสา) ถูกอาวุธ ที่ขา เมื่อกลับ ไปถึง เมืองนครฯ แผลเกิดพิษ กำเริบ จนถึงแก่ อสัญกรรม (บ้างก็ว่า ออกญา เสนาภิมุข ถึงแก่กรรม เพราะถูก ยาพิษ ของออก พระมริต)
จีน ชาวจีน เข้ามา ค้าขาย ในเมือง ปัตตานี เมื่อไร ยังไม่ปรากฏ หลักฐาน แน่นอน แต่ในด้าน ปริมาณ พ่อค้า ชาวจีน มีจำนวน สูงกว่า ชาติอื่นๆ นอกจากนั้น ชาวจีน ยังสมัครใจ สมรส กับชาว พื้นเมือง และ นิยม ตั้งรกราก อยู่ในเมือง ปัตตานี อย่างถาวร จนกลาย เป็นส่วนหนึ่ง ของพลเมือง ปัตตานี ไปใน ที่สุด ผู้เขียน รู้จัก กับครอบครัว ชาวเมือง ปัตตานี หลายครอบครัว อ้างว่าตน มีบรรพบุรุษ เป็นชาวจีน หนังสือ Purchase his Pilgrimage เขียนโดย ชาวอังกฤษ ที่เข้ามา เมืองปัตตานี ในปี พ.ศ.๒๑๖๐ ได้บรรยาย ถึงสภาพ บ้านเมือง ปัตตานี และ ผู้คน ไว้ตอนหนึ่ง ว่า "ปัตตานี เป็นนครหนึ่ง อยู่ทาง ตอนใต้ ของสยาม อาคาร บ้านเรือน เป็นไม้ และแฝก แต่เป็นงาน ที่สร้างขึ้น ด้วยฝีมือ อย่างมีศิลปะ มีสุเหร่า หลายแห่ง มีชาวจีน มากกว่า ชาวพื้นเมือง (คงหมายถึง บริเวณ ท่าเรือ หรือตัวเมือง ปัตตานี) พลเมือง ภาษาใช้กัน ๓ ภาษา คือ ภาษา มาลายัน ภาษาไทย และ ภาษาจีน ชาวจีน สร้างศาลเจ้า ชาวไทย สร้างพระพุทธรูป พระสงฆ์ นุ่งเหลือง ห่มเหลือง"
ที่ฮวงซุ้ย โบราณ ของชาวจีน ในท้องที่ ตำบล ตันหยงลุโละ อำเภอเมือง ปัตตานี ปัจจุบัน ถูกน้ำทะเล กัดเซาะ ดินพังทะลาย ลงไป ในทะเล หมดแล้ว คงเหลือ แต่แผ่นป้าย ศิลา จารึก ชื่อผู้ตาย ที่ชาวบ้าน เก็บมาวางไว้ สำหรับ เป็นที่ ชำระเท้า หน้าบันได บ้าน ข้อความ ในแผ่น ศิลา เป็นอักษรจีน จารึกนาม ผู้ตาย "ชื่อชูฉิน นามสกุล เฉิน ถึงแก่กรรม ในปี เหยินเฉิน ศักราช ว่านลี ราชวงศ์ เหม็ง ตรงกับปี พุทธศักราช ๒๑๓๕" และ หิน เหนือหลุมศพ (แนแซ) ของพญา อินทิรา ผู้สร้างเมือง ปัตตานี ระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๒-๒๐๕๗ ก็เป็น ลวดลายเมฆ ซึ่งเป็น ศิลปกรรม ของช่าง ศิลปะจีน ที่หมายถึง บุคคล ผู้สูงศักดิ์, ความมีเกียรติ, อำนาจ, วาสนา แสดง ให้เห็นว่า เป็นฝีมือ ของช่าง ชาวจีน แกะสลัก ขึ้น และ บริเวณ ฮวงซุ้ย แห่งนี้ ก็คง เป็นที่ตั้ง ชุมนุม ชาวจีน มาตั้งแต่ สมัย เริ่มสร้าง เมืองปัตตานี ทีเดียว ภายใน ศาลเจ้า ซูก๋ง (หรือเล่งจูเกียง) ก็พบ จารึก ภาษาจีน บอกปี ที่สร้าง ศาลเจ้า หลังนี้ ว่า สร้างขึ้นเมื่อ "วันชัย มงคล ปีปวน และ ที่ ๒ ศักราช ราชวงศ์เหม็ง" ตรงกับปี พุทธศักราช ๒๑๑๗ ซึ่งเป็น หลักฐาน การเข้ามา วางรกราก ของชาวจีน ในเมือง ปัตตานี เป็นอย่างดี
สินค้า ชาวจีน ที่นำ เข้ามา จำหน่าย ในตลาด เมืองปัตตานี ได้แก่ เครื่องถ้วยชาม ลายคราม ทั้งชนิดดี และ เลว ซึ่งข้าพเจ้า เก็บรวบรวม ได้จาก บริเวณ บ้านบานา บ้านกรือเซะ เป็นจำนวน มากมาย นอกจากนี้ ยังมี ผ้าแพร และ เส้นไหม ซึ่ง ชาวเมือง ปัตตานี นิยม ซื้อ มาทอ เป็นผ้า ชั้นดี ขึ้นจำหน่าย เรียกว่า "ผ้าจวนตานี" "ผ้ายกตานี" ดังปรากฏชื่อ อยู่ใน วรรณคดีไทย ได้แก่ หนังสือ เสภา เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน และ เรื่องอิเหนา (ดาหลัง) จนกระทั่ง เมืองปัตตานี ในสมัยนั้น ได้สมญานาม ว่าเป็น "แหล่งรวม สินค้า ผ้าไหม ชั้นนำ นอกเหนือ จากกวางตุ้ง" ปัตตานี สมัย อยุธยา เป็นศูนย์รวม สินค้า ที่ผลิต จากประเทศจีน สำหรับ จำหน่าย แก่พ่อค้า นานาชาติ ที่ต้องการ นำไปขาย ในต่างประเทศ อีกต่อหนึ่ง
ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับเจ้าเมืองปัตตานี
ครั้งที่ ๑ เกิดขึ้น ในแผ่นดิน สมเด็จ พระมหา จักรพรรดิ์ สาเหตุ ของการ ขัดแย้ง ที่เกิดขึ้น ในครั้งนั้น พงศาวดาร เมืองปัตตานี และ พงศาวดาร กรุงศรี อยุธยา ฉบับ พระราชหัตถเลขา ได้บันทึกไว้ แตกต่างกัน ดังนี้
สยาเราะห์ ปัตตานี ฉบับ ของนาย หวันอาซัน ว่า สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ เสด็จไป อยุธยา ๒ คราว อ้างว่า เพื่อเยี่ยมเยียน พระเจ้า กรุงสยาม ในฐานะ ที่เป็น พระญาติ กับพระองค์ คราวแรก ประทับอยู่ ๒ เดือน ระหว่าง ที่พำนักอยู่ พระเจ้า กรุงสยาม ให้ออกญา กลาโหม มาทูล มาดฟาร์ชาฮ์ ว่า หากสุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ ต้องการ ได้หญิงงาม ไว้เป็น ภรรยา ก็จะจัด มามอบให้ สุลต่าน ตอบไปว่า "พระองค์ เป็นเพียง เจ้าผู้ครอง ที่ต่ำต้อย หาควร ที่จะ ใฝ่สูง ให้เกินศักดิ์ มิอาจเอื้อม รับหญิงงาม ไว้เป็นศรี ภรรยา ได้ตาม ที่ทรง พระกรุณา โปรดเกล้าฯ"
ส่วนการ เสด็จ ครั้งที่ ๒ "มีไพร่พล ที่ชำนาญ เพลงกริช ตามเสด็จ ไป ๑,๐๐๐ คน ผู้หญิง ๑๐๐ คน และ ได้เกิด การรบพุ่ง กัน ไพร่พล ที่ตาม เสด็จ หาได้ กลับเมือง ปัตตานี แม้แต่ คนเดียว"
สยาเราะห์ กรียาอัน มลายู ปัตตานี ซึ่งอิบรอฮิม ชุกรี ชาวกลันตัน เป็นผู้เขียน ความว่า "สุลต่าน มัดฟาร์ชาร์ ได้เสด็จ ไปเยือน สยาม เพื่อเชื่อม สัมพันธ ไมตรี กันและกัน ในการ เสด็จ ครั้งนั้น กษัตริย์ สยาม ได้ให้การ ต้อนรับ ไม่สมพระเกียรติ จึงเสด็จ กลับมา เมืองปัตตานี ด้วยความ รู้สึก น้อยพระทัย และ อีกตอนหนึ่ง ว่า กษัตริย์ สยาม ได้มอบ ข้าทาส ซึ่งเป็น ชาวพม่า และเขมร ที่นับถือ พุทธศาสนา มาให้ เป็นกำลังเมือง"
เชลยทาส เหล่านั้น ได้ไปตั้ง หลักแหล่ง อยู่ใน ท้องที่ บ้านกะดี ตำบลจะรัง อำเภอยะหริ่ง ต่อเขต อำเภอ ปานาเระ แห่งหนึ่ง และ ที่บ้านกดี ระหว่างเขต อำเภอเมือง กับอำเภอยะหริ่ง (คือวัดบ้านกะดี) อีกแห่งหนึ่ง ต่อมา เมื่อสุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ ทราบว่า พม่า ยกกองทัพ มาตีเมือง ศรีอยุธยา "จึงได้ ตกลงใจ นำกองทัพ เมืองปัตตานี เข้าไปตี กรุงศรีอยุธยา เพื่อลบรอยแค้น ที่ตราตรึง อยู่ใน พระทัย ของพระองค์ มีกองเรือรบ จำนวน ๒๐๐ ลำ ทหาร ๑,๐๐๐ คน และ ผู้หญิง ๑๐๐ คน เมื่อกองทัพ ไปถึง กรุงศรีอยุธยา สุลต่าน เห็นว่า ทัพพม่า กำลัง ล้อมเมือง สยาม อยู่อย่างหนาแน่น พระองค์ จึงฉวย โอกาส นำกำลัง ทหาร บุกเข้าสู่ ราชสำนัก เจ้ากรุงสยาม ทันที กษัตริย์ ซึ่งประทับ อยู่ใน พระบรม ราชวัง ทรงได้ยิน เสียงโห่ร้อง ของทหาร เมืองปัตตานี จึงเสด็จ หนีออกจาก ประตูเมือง ด้านหลัง หนีไปหลบซ่อน พระองค์ อยู่ที่ เกาะมหาพราหมณ์ ต่อมา ทหาร เมืองสยาม ก็ได้ รวบรวม กำลัง โต้ตอบ กองทหาร เมืองปัตตานี จนถอยร่น ออกจากเขต พระบรม มหาราชวัง หนีไป ลงเรือ เมื่อ ขบวนเรือ ไปถึง ปากอ่าว แม่น้ำ เจ้าพระยา สุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ ก็ได้สิ้นพระชนม์ชีพ พระศพ ถูกนำ ไปฝังไว้ บนหาดทราย ปากอ่าว เมือง สยาม"
ส่วน พระราช พงศาวดาร ฉบับ พระราชหัตถเลขา ได้บันทึก เรื่องราว เกี่ยวกับเมือง ปัตตานี ในตอนนี้ ว่า "ขณะนั้น พระยา ตานี ศรีสุลต่าน ยกเรือรบ หยาหยับ สองร้อยลำ เข้ามา ช่วย ราชการ สงคราม ถึงทอดสมออ ยู่หน้าวัด กุฎี บางกะจะ รุ่งขึ้น ยกเข้ามา ทอดอยู่ ประตูไชย พระยา ตานี ศรีสุลต่าน ได้ที กลับเป็น กบฏ ก็ยก เข้าไป ในพระราชวัง สมเด็จ พระมหา จักรพรรดิ ราชาธิราชเจ้า ไม่ทันรู้ตัว เสด็จ ลงเรือ พระที่นั่ง ศรีสักหลาด หนีไป เกาะมหาพราหมณ์ และ เสนาบดี มนตรีมุข พร้อมกัน เข้าใน พระราชวัง สะพัดไล่ ชาวตานี แตกฉาน ลงเรือ รุดหนีไป"
ต่อมา เมื่อสุลต่าน มันดูชาฮ์ ผู้เป็น พระราช อนุชา ของสุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ ขึ้นครอง ราชสมบัติ เมืองปัตตานี ก็ได้ส่งทูต ชื่อ โอรัง กายา สรีอากาคชา มาเฝ้า พระเจ้า กรุงสยาม เหตุการณ์ต่างๆ ก็ยุติลง
ครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น ในสมัย นางพญาบีรู หนังสือ ชื่อ เอกสาร ฮอลันดา กล่าวถึง สาเหตุ แห่งการ ขัดแย้ง ในคราวนี้ ว่า เนื่องมาจาก นางพญาบีรู ไม่พอพระทัย พระเจ้า ปราสาททอง โดยกล่าวว่า พระเจ้า ปราสาททอง "เป็นคนชิง ราชสมบัติ (จากพระเจ้า อาทิตยวงศ์) คนโกง ฆาตกร และ คนทรยศ ไม่มีทาง ที่พระนาง จะทรง ตั้งพระทัย แสดงความ เคารพ ยำเกรง เหมือนอย่างที่ พระเจ้าแผ่นดิน ของปัตตานี ในสมัยโบราณ ทรงแสดง ต่อพระเจ้า แผ่นดิน สยาม องค์ก่อนๆ"
ประจวบกับ หัวเมือง ปักษ์ใต้ ได้แก่ เมืองนครศรี ธรรมราช และ สงขลา ต่างก็ พากัน กระด้าง กระเดื่อง ไม่ยอม อ่อนน้อม ต่อพระเจ้า ปราสาททอง อีกด้วย พระเจ้า ปราสาททอง จึงส่ง กองทัพ มาปราบ เมืองนครศรี ธรรมราช และ สงขลาได้ส่ง กองทัพ มาตี เมืองปัตตานี โดย ฮอลันดา สัญญาว่า จะส่ง กองทัพเรือ มาช่วย อีกกองหนึ่ง กองทัพ กรุงศรี อยุธยา และ นครศรี ธรรมราช ล้อมเมือง ปัตตานี อยู่เป็น เวลา ๑ เดือน กองทัพเรือ ฮอลันดา ก็ยังมาไม่ถึง จนเสบียง อาหาร ที่จะ เลี้ยงดู ทหาร หมดลง จึงได้ ถอยทัพ กลับไป
หลังจาก นางพญาบีรู สิ้นพระชนม์ แล้ว เจ้าหญิง อูงู ก็ขึ้น ครองราช สมบัติ เมืองปัตตานี ผู้แทน บริษัท อิสต์อินเดีย ของฮอลันดา และ เจ้าเมือง ไทรบุรี ได้ทำการ เกลี้ยกล่อม นางพญา อูงู โดยให้ เหตุผล ว่า "การค้าขาย ไม่อาจ ดำเนิน ไปได้ เนื่องจาก การเกลียดชัง ต่อประเทศ สยาม" เพราะ เรือสำเภา สยาม ไม่สามารถ นำสินค้า จากสยาม เข้ามา จำหน่าย และ แลกเปลี่ยน กับ สินค้า พ่อค้า ต่างประเทศ ได้ ทำให้ พ่อค้า ที่ต้องการ สินค้า ของสยาม ไม่แวะเมือง ปัตตานี เหมือนอย่าง แต่ก่อน นางพญาอูงู จึงเปลี่ยน นโยบาย ซึ่งเคยใช้ ความแข็งกร้าว กลับมาใช้ การทูต แทน โดยส่งเรือ ๔ ลำ พร้อมด้วย ราชทูต ๒ นายคือ Siratwarra Radja (สรีรัตวรราชา) และ Soyradja Natsawari (โสรัจนาถวารี) นำดอกไม้ ทองเงิน และ เครื่องราช บรรณาการ เข้าไป ถวาย สมเด็จ พระเจ้า ปราสาททอง เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๑๘๔ ทำให้ สภาวะ สงคราม ระหว่าง อยุธยา และ ปัตตานี ยุติลง ด้วยดี มีการ ติดต่อ สัมพันธ์กัน ทั้งทาง การค้า และ การเมือง ตามปกติ จนกระทั่ง กรุงศรี อยุธยา เสียแก่ พม่า ในปี พ.ศ.๒๓๑๐
ครั้งที่ ๓ สมัย สมเด็จ พระเจ้า ตากสิน มหาราช การเสีย กรุงศรี อยุธยา ในครั้งที่ ๒ นอกจาก พม่า ปล้นสดมภ์ เอาทรัพย์สิน และ จับผู้คน ไปเป็น เชลย เป็นจำนวนมากแล้ว ยังสูญสิ้น เชื้อพระราชวงศ์ ที่จะสืบ พระราชสมบัติ ไปอีกด้วย บรรดา เจ้าพระยา มหานคร น้อยใหญ่ ต่างก็ พากัน ตั้งตน ขึ้นเป็น อิสระ แยกเป็นก๊ก สำคัญ ได้ ๔ ก๊ก ภาคใต้ ได้แก่ ก๊กของ เจ้าพระยา นครศรี ธรรมราช ซึ่งเป็น เมืองใหญ่ มีผู้คน และ เสบียง อาหาร บริบูรณ์ สมเด็จ พระเจ้า ตากสิน จึงทรง นำทัพ มาปราบ ก๊ก เจ้าพระยา นครศรี ธรรมราช เจ้าพระยานครฯ หนีมา อาศัย อยู่ใน เมืองปัตตานี กับสุลต่าน โมหะหมัด สมเด็จ พระเจ้า ตากสิน ให้พระยา จักรี ติดตาม มาเจรจา กับสุลต่าน โมหะหมัด ขอตัว เจ้าพระยานครฯ พระยาสงขลา พร้อมกับ ขอยืมเงิน ๒๐,๐๐๐ เหรียญ เพื่อทดลอง น้ำใจ เจ้าเมือง ปัตตานี ว่า ยังมี ความยำเกรง ในพระองค์ เพียงใด สุลต่าน โมหะหมัด จึงยอม ส่งตัว เจ้าพระยานครฯ และ เจ้าเมือง สงขลา ให้แก่ สมเด็จ พระเจ้า ตากสิน แต่โดยดี แต่เงินยืมนั้น สุลต่าน โมหะหมัด ขอผัดผ่อน เนื่องจาก สุลต่านเอง ก็ขัดสน ไม่สามารถ จะจัดหา ให้ได้ แต่ด้วยเหตุ ที่สมเด็จ พระเจ้า ตากสิน มีพระราช ภารกิจ ที่จะต้อง ปราบก๊ก ของพระฝาง ซึ่งเป็น ก๊กสำคัญ ให้เสร็จ ไปเสียก่อน จึงยับยั้ง การปราบปราม เมืองปัตตานีไว้
ครั้งที่ ๔ สมัย กรุงรัตน โกสินทร์ เมื่อ พระบาท สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้า จุฬาโลกฯ ได้เสด็จขึ้น เถลิงวัลย์ ราชสมบัติ แล้ว จึง โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ กรมพระราชวัง บวร มหา สุรสิงหนาท เสด็จ ออกไป ช่วยเหลือ หัวเมือง ปักษ์ใต้ ที่กองทัพ พม่า เข้ามา โจมตี เมืองภูเก็ต นครศรี ธรรมราช พัทลุง หลังจาก กองทัพ พม่า แตกหนี ไปแล้ว ก็ทรงมี พระราชสาสน์ มาแจ้งแก่ สุลต่าน โมหะหมัด ให้ยินยอม ส่ง เครื่องราช บรรณาการ และ ต้นไม้ ทองเงิน ตามพระราช ประเพณี ของประเทศราช ที่เคย ปฏิบัติ มาแต่ครั้ง กรุงศรี อยุธยา แต่สุลต่านฯ ปฏิเสธ สมเด็จ กรมพระราชวัง บวรฯ จึงระดมทัพ เมืองสงขลา พัทลุง ยกมา ตีเมือง ปัตตานี ได้ในปี พ.ศ.๒๓๒๙
ครั้งที่ ๕ เหตุขัดแย้ง เกิดขึ้น จากการ ที่ต่วนกู ลัมมิเด็น ซึ่งทรง พระกรุณา โปรดให้ ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี มีเจตนา ที่จะ ปกครอง เมืองปัตตานี โดยอิสระ ไม่ต้องการ เป็นประเทศราช ส่งดอกไม้ ทองเงิน แก่ กษัตริย์ แห่งกรุงสยาม ภายใต้ การควบคุม ของเจ้าพระยา นครศรี ธรรมราช จึงส่งทูต นำสาสน์ พร้อมเครื่องราชบรรณาการ ไปกับ นายสำเภา ชื่อ "นะคุดาซุง" เพื่อถวาย องค์เชียงสือ กษัตริย์ญวน เกลี้ยกล่อม องค์เชียงสือ ให้ร่วมมือ นำกองทัพญวน และ ปัตตานี มาตี กรุงเทพฯ แต่องค์เชียงสือ หาได้ ปฏิบัติ ตามคำ ชักชวน ของตนกู ลัมมิเด็น เพราะยังคง สำนึก ในพระมหา กรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกฯ ที่เคยให้ ความอุปถัมภ์ แก่องค์เชียงสือ และ สมเด็จ พระราช มารดา คราวที่ หลบหนีภัย กบฏ ไตเซิน เข้ามา พึ่งพา พระบรม โพธิสมภาร อยู่ใน กรุงเทพฯ ทั้งยัง ช่วยเหลือ เกื้อหนุน ให้อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ในการ กอบกู้ พระราชบัลลังก์ กลับคืน จากพวก กบฏ สำเร็จ จึงนำสาสน์ ของตนกู ลัมมิเด็น ให้ขุนนางไทย ชื่อ พระพิมล วารี และ พระราชมนตรี มาทูลเกล้าฯ ถวาย แก่ สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้าฯ ทรงทราบ ข้อความ ในสาร ฉบับนั้น มีความว่า "เดือน ๑๑ ปีระกา เอกศกจุล ศักราช ๑๑๕๑ รายา ตานี จะยกทัพ มาตีกรุง ให้องค์เชียงสือ มาร่วมกับ รายาตานี" ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๓๓๔ สมเด็จ พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกฯ จึงทรง โปรดเกล้า ให้ "พระยา กลาโหม ราชเสนา เป็นแม่ทัพเรือ ยกไปตี เมืองตานี จับรายาตานี ได้ใน กุฎี พระสงฆ์ ที่วัด แห่งหนึ่ง" แต่ก่อนที่กองทัพกรุงจะยกลงไปตีเมืองตานีนั้น ตวนกูลัมมิเด็นได้อาศัยกำลังจาก "แขกเซียะ" บนฝั่งเกาะสุมาตรามาสมทบ ยกไป ตีเมือง สงขลา ดังข้อความ ในพงศาวดาร เมืองสงขลา ที่บันทึก ไว้ว่า "ปีกุนตรีศก ศักราช ๑๑๕๓ (พ.ศ.๒๓๓๔) โต๊ะสาเหย็ด (สาเหย็ด (ไซยิด) หมายถึง ผู้มีสาย สืบเนื่อง มาจาก พระนาบี โมหะหมัด ในที่นี้ คงจะ หมายถึง ผู้นำ ศาสนา ที่มีคน เคารพ นับถือ เท่านั้น) คบคิด กับพระยา ตานี ยกกองทัพ ไปตีเมือง สงขลา พระยา สงขลา ขอกำลัง กองทัพหลวง จากกรุงเทพฯ และนำ กองทัพ เมือง นครศรี ธรรมราช มาช่วยเหลือ แต่ก่อน ที่กองทัพหลวง จากพระนครฯ ยกไป ถึงเมือง สงขลา เพียง ๔ วัน กองทัพ เมืองสงขลา เมืองนครศรี ธรรมราช ก็สามารถ ตีกองทัพ พระยา ตานี ที่มา ตั้งค่าย ล้อมเมือง สงขลา แตกถอย กลับไป โต๊ะสาเหย็ด (ไซยิด) ถูกปืนตาย ขณะ เสกน้ำมนต์ ประพรม ประตูค่าย"
หลังจากการ ปราบปราม กบฏ เมืองปัตตานี ในครั้งนี้ พระยาสงขลา (บุญฮุย) มีความชอบ ที่สามารถ ป้องกันเมือง สงขลา ไว้ได้ และ ช่วยกองทัพหลวง ตีเอาเมือง ปัตตานี กลับคืน สมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าฯ จึงโปรด พระราชทาน ให้เลื่อน บรรดาศักดิ์ พระยา สงขลา (บุญฮุย) ขึ้นเป็น เจ้าพระยา อินทคีรี ศรีสมุทร สงคราม รามภักดี อภัย พิริยะ ปรากรม พาหุ และให้ ยกเมือง สงขลา ขึ้นเป็น เมืองชั้นเอก ขึ้นตรง ต่อกรุงเทพ มหานครฯ และมอบ อำนาจ ให้เจ้าเมือง สงขลา เป็นผู้ ควบคุม ดูแล เมืองปัตตานี กลันตัน ตรังกานู ซึ่งเมือง เหล่านี้ เดิมขึ้น อยู่กับ เมือง นครศรีธรรมราช
ครั้งที่ ๖ กบฏ ระตู ปะกาลัน "ระตูปะกาลัน" เป็นสมมตินาม ไม่ใช่ ชื่อบุคคล ที่แท้จริง เทียบได้กับ ตำแหน่ง ขุนนางไทย สมัยโบราณ ได้แก่ เจ้ากรมท่า (ซ้าย - ขวา) ในความหมาย ของคำ "ระตู" แปลว่า "เจ้าเมือง" ปะกาลัน แปลว่า "ท่าเรือ" รวมความ ก็คือ เจ้าท่า เจ้ากรมท่า นั่นเอง มลายู เรียก ตำแหน่งนี้ว่า ชาฮ์บันดาร์ (Shah bandar)
หลังจาก ต่วนกู ลัมมิเด็น ถูกจับตัว นำไป กักกัน ไว้ที่ กรุงเทพฯ แล้ว พระยา กลาโหม ราชเสนา เสนอให้ ระตูปะกาลัน เข้าดำรง ตำแหน่ง เจ้าเมือง ปัตตานี ในปี พ.ศ.๒๓๓๔ ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๓๕๑ ระตูปะกาลัน มีความ คิดเห็น ขัดแย้ง กับขุนนางไทย หรือที่ มลายู เรียกว่า "ลักษมณา ดายัน" ซึ่งมีหน้าที่ ให้ความคิดเห็น ในการ บริหาร กิจการ เมืองปัตตานี แทน ผู้สำเร็จ ราชการ เมืองสงขลา ระตูปะกาลัน ใช้ทหาร เข้าทำการ ขับไล่ ขุนนางไทย ออกไป จากเมือง ปัตตานี เจ้าพระยา อินทคีรีฯ ผู้สำเร็จ ราชการ เมืองสงขลา มีใบบอก เข้าไป กรุงเทพฯ สมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้าฯ จึงทรง โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยา พลเทพ (บุนนาค) นำกองทัพกรุง ออกไปสมทบ กับกองทัพ เมืองสงขลา เมืองพัทลุง ยกไปตี เมืองปัตตานี ระตู ปะกาลัน เห็นกองทัพกรุง ลงมา ช่วยเหลือ เมืองสงขลา เกิดความกลัว จึงหลบหนี ไปทางเมือง เประ ปลัดจะนะ (ขวัญซ้าย) ได้นำ กองทหาร ติดตาม ไปทันกัน ที่ชายแดน ระหว่างเมือง รามันห์ กับเมือง เประ ได้สู้รบกัน ระตูปะกาลัน ถูกปืน ถึงแก่กรรม
ผู้สำเร็จ ราชการ เมืองสงขลา จึงเสนอ นายขวัญซ้าย มหาดเล็ก ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี และในปีนี้ ก็มี พระบรม ราโชบาย ให้แยกเมือง ปัตตานี ออกเป็น ๗ หัวเมือง คือ เมืองหนองจิก ส่วนชื่อ ผู้ว่า ราชการ เมืองอื่นๆ ไม่ปรากฏ หลักฐานว่า ได้แต่งตั้งผู้ใด สันนิษฐานว่า คงจะอยู่ ในระยะ การคัดเลือก สรรหา บุคคล ที่มี ความเหมาะสม เพื่อนำขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวาย ให้ทรง พระกรุณา โปรดเกล้า แต่งตั้ง แต่ สมเด็จ พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก ได้สวรรคต เสียก่อน
ครั้งที่ ๗ ต่วนกูสุหลง ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี เป็นผู้นำ ในการ กบฏ สาเหตุ ที่ทำ ให้เกิด การกบฏ ในครั้งนี้ สืบเนื่อง มาจาก เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ในเมือง ไทรบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๓ โดยตนกูหม่อม ทำเรื่อง กล่าวโทษ เจ้าพระยา สงคราม รามภักดี ศรีสุลต่าน มหะหมัด รัตราช วังสา (ปะแงรัน) เจ้าเมือง ไทรบุรี ผู้เป็น พี่ชาย ว่าเอาใจ ออกห่าง ไปสามิภักดิ์ ต่อพระเจ้า กรุงอังวะ กษัตริย์ พม่า เจ้าพระยา นครฯ (น้อย) ผู้ควบคุม หัวเมือง ประเทศราช ในภาคใต้ จึงนำ กองทัพ ไปตีเมือง ไทรบุรี เจ้าพระยา ไทรบุรี นำครอบครัว หลบหนี ไปอาศัย อยู่ ณ เกาะปีนัง
เจ้าพระยานครฯ จึงขอ พระราชทาน แต่งตั้ง บุตรชาย ซึ่งต่อมา ได้รับ สัญญาบัตร เป็นพระยา อภัยธิเบศร มหา ประเทศ ราชา ธิบดินทร์ อินทร ไอสวรรย์ ขัณฑ เสมา มาตยา นุชิต สิทธิ สงคราม รามภักดี พิริยพาหุ (แสง) เป็นเจ้าเมือง ไทรบุรี
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๗๓ - ๒๓๗๔ เมืองไทรบุรี ประสบ ทุพภิกขภัย ฝนแล้ง ติดต่อกัน ราษฎร ทำนา ไม่ได้ผล ชาวเมือง อดอยาก และ เกิดโจรกรรม ขึ้นชุกชุม ตนกูเดน บุตรของ ตนกูรายา พี่ชาย ของเจ้าพระยา ไทรบุรี (ปะแงรัน) ฉวยโอกาส จากการ เกิดภัย พิบัติ ขึ้นใน เมืองไทรบุรี นำสมัคร พรรคพวก เข้ามา เกลี้ยกล่อม ยุยง ราษฎร ให้ร่วมใจ กันก่อกบฏ ชิงเอาเมือง ไทรบุรี ไว้ได้ การกบฏ ในครั้งนี้ ศาสตราจารย์ ฮอลล์ กล่าวว่า "ได้มีการ วางแผน กันที่ ปีนัง ต่อหน้า ต่อตา เจ้าหน้าที่ อังกฤษ ทีเดียว"
พระยา อภัยธิเบศรฯ อพยพ ผู้คน ถอยไป ตั้งทัพ คอยรับ การต่อสู้ ตนกูเดน อยู่ที่ เมืองพัทลุง แล้วรายงาน การเสีย เมืองไทรบุรี ให้ เจ้าพระยา นคร (น้อย) ทราบ ขณะนั้น พระสุรินทร์ ข้าหลวง ในกรม พระราชวัง บวรฯ ออกมา ปฏิบัติ ราชการ อยู่ที่เมือง นครศรี ธรรมราช เจ้าพระยานครฯ จึงให้ พระสุรินทร์ นำคำสั่ง ออกไปเกณฑ์ กองทัพ เมืองสงขลา (เถี้ยนเส้ง) มอบหมาย ให้พระสุรินทร์ นำคำสั่ง ไปยัง หัวเมือง ทั้ง ๗ ชาวเมือง เหล่านั้น ทราบว่า ถูกเกณฑ์ ไปรบ กับเมือง ไทรบุรี ก็พากัน หลบหนี พระสุรินทร์ จึงลงโทษ กรมการเมือง
เจ้าเมือง ปัตตานี ยะลา หนองจิก สาย รามันห์ และ เมืองระแงะ ไม่พอใจ ในการ กระทำ ของพระสุรินทร์ จึงสมคบกัน ทำการ กบฏขึ้น ต่วนสุหลง เจ้าเมือง ปัตตานี ได้ขอ ความช่วยเหลือ ไปยัง สุลต่าน เมืองกลันตัน ตรังกานู ให้ส่ง กองทัพ มาช่วย
"พระยา กลันตัน ให้พระยา บาโงย พระยา บ้านทะเล ผู้น้อง พระยา บาโงย เป็นแม่ทัพเรือ คุมเรือ ๕๐ ลำ พระยา บ้านทะเล เป็นแม่ทัพบก" และ "เมืองตรังกานู ให้ตนกู คาเร เจ๊ะกูหลง หวันกามา เจ๊ะสะมาแอ คุมเรือ ๓๐ ลำ มาช่วย เมืองตานี" (พระราช พงศาวดาร รัชกาลที่ ๓ ของ เจ้าพระยา ทิพากรวงศ์ หน้า ๑๒๔ พิมพ์โดย สำนักพิมพ์ องค์การค้า ของคุรุสภา)
เจ้าพระยา พระคลัง (ดิศ บุนนาค) นำกองทัพ เดินทาง ไปถึง เมืองสงขลา เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๓๗๕ หลังจาก กองทัพ ของเจ้าพระยา นครฯ (น้อย) ตีเมือง ไทรบุรี กลับคืน มาได้แล้ว พระยา พระคลัง (ดิศ) จึงแต่งตั้ง ให้พระยา เพชรบุรี พระยา สงขลา (เถี้ยนเส้ง) นำทัพบก และ ทัพเรือ ไปถึงเมือง ปัตตานี เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๓๗๕ ตีเมือง ปัตตานีแตก ต่วนสุหลง อพยพ ครอบครัว หนีไปเมือง กลันตัน พร้อมกับ ต่วนกูยาโล เจ้าเมืองสาย รามันห์ และ เมืองระแงะ ยอมเข้ามา มอบตัว เจ้าพระยา พระคลัง (ดิศ) จึงขอ พระราชทาน อภัยโทษ ให้ (พระราช พงศาวดาร รัชกาลที่ ๓ ของเจ้าพระยา ทิพากรวงศ์ หน้า ๑๒๔ พิมพ์โดย สำนักพิมพ์ องค์การค้า ของคุรุสภา)
สุลต่าน หลงมูฮัมหมัด เจ้าเมือง กลันตัน เกรงกลัวว่า กองทัพไทย จะติดตาม ไปตีเมือง จึงส่งตัว ต่วนสุหลง เจ้าเมือง ปัตตานี ต่วนยาโล เจ้าเมือง ยะลา และ แม่ทัพ นายกอง เมืองปัตตานี คือ ดามิด มะหะหมุด และ อาหะหมัด มามอบให้ เจ้าพระยา พระคลัง (ดิศ) และ ยินยอม ชดใช้ ค่าเสียหาย ให้แก่ กองทัพไทย เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ เหรียญ ส่วนเจ้าเมือง ตรังกานู (มะหะหมัด) สมเด็จ พระนั่งเกล้าฯ โปรดให้ ปลดออก จากตำแหน่ง และทรง แต่งตั้ง ตนกูอุมา ซึ่งเป็นญาติ กับพระยา ตรังกานู (มะหะหมัด) ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองตรังกานู แทน
ครั้งที่ ๘ ความขัดแย้ง เกิดขึ้น เนื่องจาก การปฏิรูป ระบบ การปกครอง ประเทศ ของสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทำให้ พระยา วิชิต ภักดี (ตนกู อับดุล กาเดร์) ไม่พอใจ ที่รัฐบาล ได้ออก กฎข้อบังคับ สำหรับ ปกครอง บริเวณ เจ็ดหัวเมือง ขึ้นมา บังคับใช้ ตั้งแต่ วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๔๔ ซึ่ง ผู้ว่า ราชการ เมือง ถือว่า กฎข้อบังคับ ดังกล่าว เป็นการ ลิดรอน อำนาจ ทางด้าน การเมือง เศรษฐกิจ การคลัง และ อำนาจ อาญาสิทธิ์ ที่เคยมี ต่อราษฎร คือสามารถ ทำการ ประหารชีวิต บุคคล ได้โดย รัฐบาลกลาง แต่งตั้ง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และ ผู้ช่วย ราชการ เมือง เข้ามา ปฏิบัติ ราชการ ช่วยเหลือ ผู้ว่า ราชการเมือง ด้านการคลัง รัฐ ก็ส่ง เจ้าพนักงาน สรรพกร ออกทำการ เก็บภาษี อากร ตาม พิกัด อัตรา ซึ่งกำหนด ขึ้นตาม ระเบียบ ของ กระทรวง การคลัง แทนการ ให้ผู้ว่า ราชการเมือง ดำเนินการเก็บ และ ใช้สอยเอง โดยพละการ ส่วนตัว พระยาเมือง รัฐบาล จะจ่ายเงิน ค่ายังชีพ ให้อย่าง เพียงพอ แก่การ ดำรงชีพ เพื่อมิให้ เสื่อมเสียเกียรติ ของผู้ว่า ราชการเมือง ทันที ที่พระยา ตานี ได้รับทราบ สารตรา แจ้งเรื่อง กฎข้อบังคับ ที่เจ้าพนักงาน เชิญไปแจ้ง ให้ทราบ ก็แสดง ปฏิกิริยา ไม่เห็นชอบด้วย กับ กฎ ข้อบังคับ นั้น ครั้นเจ้าพนักงาน สรรพากร เข้าไป ปฏิบัติงาน ตามหน้าที่ พระยาตานี ก็ทำการ ขัดขวาง เจ้าพนักงาน มิให้ ปฏิบัติการ ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้น พระยาตานี ยังเดินทาง ไปขอร้อง ข้าหลวงใหญ่ อังกฤษ ที่ประจำ อยู่ที่เมือง สิงคโปร์คือ เซอร์แฟร็งค์ สเวทเทนนั่ม ให้ช่วยเหลือ เจรจา กับ รัฐบาล ไทย พร้อมทั้ง เสนอให้ อังกฤษ ยึดเมือง ปัตตานี เป็นเมืองขึ้น
ทางรัฐบาล ถือว่า พระยา วิชิต ภักดี จงใจ ขัดขืน พระบรม ราชโองการ ไม่ให้ ความร่วมมือ ในการ ปฏิรูป การปกครอง ประเทศ ให้เหมาะสม กับกาลสมัย กระทรวง มหาดไทย จึงส่ง พระยา สิงหเทพ กับ กำลัง ตำรวจ ภูธร เดินทาง มาโดย เรือรบหลวง ทำการ จับกุมตัว พระยาตานี ในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๕ และ ส่งตัว ไปกักกัน บริเวณ ไว้ที่ เมืองพิษณุโลก แล้วแต่งตั้ง ให้พระยา พิทักษ์ ธรรมสุนทร (ต่วนกูเดร์) ขึ้นเป็น ผู้รั้ง เมืองปัตตานี
ปี ร.ศ.๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) ตนกู อับดุล กาเดร์ ได้รับ พระกรุณา โปรดเกล้าฯ อนุญาต ให้กลับมา อยู่ที่เมือง ปัตตานี ได้ด้วย คำมั่น สัญญาว่า "จะไม่ เกี่ยวข้อง การบ้านเมือง อย่างหนึ่ง อย่างใด เป็นอันขาด"
ครั้นเมื่อ สมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้น เถลิงถวัลย์ ราชสมบัติ แล้ว ตนกู อับดุล กาเดร์ ก็ได้ทำ หนังสือขึ้น กราบบังคมทูล ขอพระราชทาน เงินค่ายังชีพ พระบาท สมเด็จ พระมงกุฎเกล้าฯ ก็ทรง พระกรุณา พระราชทาน เงินค่ายังชีพ ให้แก่ ตนกู อับดุล กาเดร์ เป็นเงิน เดือนๆ ละ ๓๐๐ บาท (จาก จดหมาย ของ พระยา พิบูลย์ พิทยาพรรค ธรรมการ มณฑล ปัตตานี มีไปถึง ขุนศิลปกรรม พิเศษ อดีต ศึกษาธิการ เขตการศึกษา ๒ จังหวัดยะลา) หลังจากนั้น ไม่นาน ตนกู อับดุล กาเดร์ ก็ได้ อพยพ ครอบครัว ไปพำนัก อยู่ที่รัฐ กลันตัน จนกระทั่ง ถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ.๒๔๗๖
สาเหตุ ที่ตนกู อับดุล กาเดร์ ขัดขืน พระบรมราช โองการ ไม่ยอม ปฏิบัติ ตามกฎ ข้อบังคับ สำหรับ ปกครอง บริเวณ เจ็ดหัวเมือง ที่รัฐบาล ตราขึ้น ในปี พ.ศ.๒๔๔๔ สมเด็จ กรมพระยาดำรงฯ ได้กล่าวสรุป ไว้ใน หนังสือ สาสน์สมเด็จ ตอนที่ ๖ ว่าด้วย การบำรุง หัวเมือง ฝ่ายตะวันตก ชั้นหลังว่า
"ใน พ.ศ.๒๔๔๔ นั้น ประจวบ เวลา พวกอังกฤษ ที่เมือง สิงคโปร์ คิดอยาก จะรุก แดนไทย ทางแหลม มลายู แต่ รัฐบาล อังกฤษ ที่เมือง ลอนดอน ไม่ให้ อนุมัติ พวกเมือง สิงคโปร์ จึงคิด อุบาย หาเหตุ เพื่อที่ จะให้ รัฐบาล ที่ลอนดอน ต้องยอมตาม ในอุบาย ของพวก สิงคโปร์ ในครั้งนั้น อย่างหนึ่ง แต่สาย ไปยุยง พวกมลายู เจ้าเมือง ในมณฑล ปัตตานี ให้เอาใจ ออกห่าง จากไทย พระยาตานี (อับดุลกาเดร์) หลงเชื่อ จึงทำการ ขัดแข็ง ขึ้น สมเด็จ พระพุทธเจ้าหลวง ดำรัสสั่ง ให้จับ และ ถอด พระยา ตานี แล้วเอาตัว ขึ้นไปคุม ไว้ที่เมือง พิษณุโลก การหยุกหยิก ในมณฑล ปัตตานี จึงสงบ ลงไป"
อิทธิพลอังกฤษในแหลมมลายูและประเทศราชของไทย :
ฟราซิสไลท์ นายทหารเรือ อังกฤษ หลังพ้น จากการ ประจำการ อยู่ใน กองราชนาวี อังกฤษ แล้ว ก็มาทำ หน้าที่ กัปตันเรือ ของ บริษัท จูร์เดน ซัลลิวัน นำเรือ แล่นไปมา ค้าขาย ระหว่าง เมืองมัทราช กับหัวเมือง ชายทะเล ด้านฝั่ง ตะวันตก ของประเทศไทย อยู่เป็นประจำ จนเกิด ความ สนิทสนม ชอบพอ กับ สุลต่าน อับดุล ละโมคุรัมซะ เจ้าเมืองไทรบุรี
ขณะนั้น แคว้นไทรบุรี กำลัง ถูกพวก บูกิส ที่เข้ามา ครอบครอง แคว้นสลังงอร์ ทำการ คุกคาม สุลต่าน อับดุลละ จึงขอ ความช่วยเหลือ จาก ฟรานซิสไลท์ ให้ช่วย ป้องกัน เมืองไทรบุรี โดยสุลต่าน จะให้ สิทธิ พิเศษ ในการ ที่ ฟรานซิสไลท์ จะเข้ามา ทำการค้า ในเมืองไทรบุรี ฟรานซิสไลท์ จึงเสนอ ต่อ บริษัท อีสต์อินเดีย ให้ส่ง ผู้คน เข้ามา คุ้มครอง เมืองไทรบุรี ดังนั้นในปี พ.ศ.๒๓๒๙ อังกฤษ จึงส่ง กองทหาร เข้ามา ตั้งอยู่ บนเกาะ ปีนัง เพื่อใช้ น่านน้ำ บริเวณ เกาะปีนัง เป็นฐาน ชุมนุม กองเรือ และ ช่วยให้ ความอารักขา เมืองไทรบุรี ให้พ้น จากการ คุกคาม ของพวก บูกิส โดยทาง บริษัท ให้ค่าเช่า เกาะนี้ แก่สุลต่าน ปีละ ๖,๐๐๐ เหรียญ
ประจวบกับ ในปีนั้นเอง พระยา ไทรบุรี ก็ถูก ฝ่ายไทย บีบบังคับ ให้ยอมรับ สภาพ ในความเป็น รัฐบรรณาการ ข องไทย เช่น สมัย อยุธยา พระยาไทรบุรี จึงขอร้อง ต่ออังกฤษ ให้ช่วยเหลือ แต่ทางฝ่าย บริษัท อิสต์อินเดีย อ้างว่า ตามข้อตกลง ระหว่าง พระยาไทรบุรี ที่ทำไว้ กับบริษัท นั้น ให้อังกฤษ ทำหน้าที่ ปกป้อง คุ้มครอง เฉพาะ ตัวเกาะ ปีนัง เท่านั้น พระยาไทรบุรี ไม่พอใจ จึงพยายาม ทำการ ขับไล่ อังกฤษ บีบบังคับ ให้พระยา ไทรบุรี ยกผืน แผ่นดิน ที่อยู่ ตรงข้าม กับเกาะ ปีนัง ให้อังกฤษ เช่าอีก โดยฝ่าย อังกฤษ เพิ่มค่าเช่า ให้เป็นเงิน ปีละ ๑๐,๐๐๐ เหรียญดอลลาร์ ทั้งนี้ เพราะ ปีนัง ต้องอาศัย อาหาร สำหรับ เลี้ยงดู ชาวเกาะ จากพื้น แผ่นดิน ใหญ่ จึงจำเป็น ต้องเข้า ยึดครอง ดินแดน ในส่วน นั้นไว้ เพื่อความ ปลอดภัย จากการ ปิดล้อม เมื่อมีการ ขัดแย้ง ทางการเมือง เกิดขึ้น
ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๓๖๒ สเตมฟอร์ด รัสเฟิล ได้รับ คำสั่ง จากมาควิส เฮสติงส์ ข้าหลวงใหญ่ ที่อินเดีย ให้ดำเนินการ ตามโครงการ ก่อตั้ง ท่าเรือ และ ศูนย์กลาง การค้า กับหมู่เกาะ มลายู เดินทาง มาพบ เกาะ สิงคโปร์ เข้าโดย บังเอิญ ระหว่าง ที่เขา แล่นเรือ จะไปยัง ยะโฮร์ เมื่อเขา ขึ้นบก สำรวจ เกาะ สิงคโปร์ ในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๓๖๒ แล้ว เขาจึง ตัดสินใจ เลือกเอา สิงคโปร์ เป็นที่ตั้ง ท่าเรือ และ ศูนย์การค้า ทันที หลังจากนั้น เขาก็ ออกอุบาย อุปโหลก ตนกูฮุสเซน พี่ชาย ของตนกู อับดุลรามัน ซึ่งเป็น สุลต่าน แห่งรัฐ ยะโฮร์ว่า เป็นเจ้าของ เกาะสิงคโปร์ แล้วทำ สัญญา เช่า จากตนกูฮุสเซน โดย ตนกูฮุสเซน ได้รับเงิน เป็นค่าเช่า ปีละ ๕,๐๐๐ เหรียญ และ ตะมะหงง ได้ปีละ ๓,๐๐๐ เหรียญ
ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๓๖๙ ชาวอังกฤษ ได้รวมเอา รัฐมะละกา ปีนัง และ สิงคโปร์ จัดตั้ง เป็นเขต การปกครอง สเตรตส์ เซตเติลเมนต์ ขึ้น และ ในปี พ.ศ.๒๓๗๕ ได้ย้ายศูนย์ การบริหาร สเตรตส์ เซตเติลเมนต์ จากปีนัง มาไว้ที่ สิงคโปร์ ประกอบกับ มีชาวจีน อพยพ เข้ามา ขายแรงงาน เป็นอันมาก ทำให้ มีกำลัง ในการผลิต สูงขึ้น และ สิงคโปร์ ได้ประกาศ เป็นเมือง ปลอดภาษี จึงทำให้ สิงคโปร์ เจริญขึ้น อย่างรวดเร็ว ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๔๑๐ บริษัท อีสต์อินเดีย ได้ตัดสินใจ เลิกกิจการค้า และได้ โอนกิจการ ของ สเตรตส์ เซตเติลเมนต์ ไปขึ้นกับ กระทรวง อาณานิคม ในลอนดอน ทำให้ ดินแดน ของรัฐทั้ง ๓ กลายเป็นรัฐ ในอารักขา ของอังกฤษ การเข้า แทรกแซง ในกิจการต่างๆ ของรัฐ บนแหลม มลายู ในระยะแรก จะเห็นได้ว่า เกิดจาก พวกข้าราชการ สเตรตส์ เซตเติลเมนต์ ทั้งสิ้น โดยที่ รัฐบาลอินเดีย มิได้ เห็นชอบ ด้วย แต่เมื่อ โอนกิจการ ไปสังกัด อยู่กับ กระทรวง อาณานิคมแล้ว ก็ได้ มีการ ส่งเสริม นโยบาย แทรกแซง ขึ้นอย่าง เป็นทางการ โดยเริ่ม จากการ เข้ามา แทรกแซง ในรัฐ เปรัค ก่อน คือ อังกฤษ มีคำสั่ง ให้เซอร์ แอนดรูคล๊าก เป็นผู้ ดำเนินการ ด้วยการ เข้าไปช่วย สุลต่าน เปรัค ทำการ ปราบปราม อิทธิพล ของพวก กรรมกร เหมืองแร่ ชาวจีน ที่ก่อความ ไม่สงบขึ้น หลังจากนั้น ก็เข้ามา ทำหน้าที่ เป็นที่ปรึกษา ด้านการ เก็บภาษี อากร และ การปกครอง จากนั้น เซอร์ แอนดรูคล๊าก ก็แนะนำ ให้สุลต่าน เปรัค ทำสัญญา กับสุลต่าน แห่งรัฐ เนกรี เซมบิลัน และ รัฐสลังงอร์ เพื่อจัดตั้ง เป็นสหพันธรัฐ มลายูขึ้น
การเข้าแทรกแซงกิจการรัฐในความปกครองของไทย
ในปี พ.ศ.๒๓๖๔ อังกฤษ ส่งจอห์น ครอเฟิต เข้ามา เจรจา กับ สมเด็จ พระพุทธ เลิศหล้า นภาลัย ขอให้ ฝ่ายไทย คืนรัฐ ไทรบุรี แก่พระยา ไทรบุรี (ตนกู ปะแงรัน) เข้ามา ปกครอง ตามเดิม แต่ฝ่ายไทย ไม่ยินยอม ฝ่ายไทย ให้เหตุผลว่า พระยา ไทรบุรี เป็นข้าราชการ ในพระบาท สมเด็จ พระเจ้า อยู่หัว ถ้ามีเรื่อง จะร้องทุกข์ ก็ควร เข้ามา ถวาย ฎีกา ร้องเรียน ต่อพระเจ้า อยู่หัว โดยตรง มิบังควร ให้บุคคลอื่น มาแทน อนึ่ง พระยา ไทรบุรีเอง ก็เคย ขัดขืน พระบรมราช โองการ ที่ทรง เรียกตัว เข้ามา ชี้แจง ข้อกล่าวหา ของ เจ้าพระยา นครศรี ธรรมราช ว่าเอาใจ ไปฝักใฝ่ ต่อพม่า มีการ ลอบส่ง เครื่องราช บรรณาการ ไปถวาย กษัตริย์ พม่า ทำนอง เป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย
เหตุที่ อังกฤษ พยายาม เข้าช่วยเหลือ พระยาไทรบุรี ก็เนื่อง มาจาก เกาะปีนัง ซึ่งอังกฤษ ได้เช่า ไปจาก พระยา ไทรบุรี (อับดุล ละโมกุรัมซะ) นั้น ชาวเกาะ ปีนัง ต้องพึ่งพา ข้าวปลา อาหาร ที่ส่ง ไปจาก รัฐไทรบุรี ซึ่งอยู่ ในความ ปกครอง ของบุตร เจ้าพระยา นครฯ (น้อย) อังกฤษ กลัวไทย จะสกัดกั้น การติดต่อ การค้าขาย หรือ เรียกเก็บ ภาษีสูงขึ้น จะทำให้ ประชาชน ในเกาะปีนัง ต้องเดือดร้อน
ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๓๖๘ ขณะที่ กองทัพ เจ้าพระยา นครฯ (น้อย) เตรียมการ จะยกกำลัง ไปช่วยเหลือ รัฐเปรัค เพื่อป้องกัน มิให้ รัฐสลังงอร์ รุกราน ข้าหลวง อังกฤษ ประจำ เกาะปีนัง คือ นายโรเบิร์ต ฟุลเลอตัน ก็ทำการ ขู่เข็ญ เจ้าพระยา นครฯ ให้ยับยั้ง การส่ง ทหาร เข้าไปยัง รัฐเปรัค ด้วยการ ส่งเรือรบ มาคอย สกัดกั้น กองเรือ ของไทย ที่ชุมนุม กันอยู่ ณ ปากน้ำ เมืองตรัง ทำให้ เจ้าพระยา นครฯ ต้องระงับ แผนการไว้
ปี พ.ศ.๒๓๖๙ อังกฤษ ส่งร้อยเอก เฮนรี เบอร์นี เข้ามา เป็นทูต เจรจา ทำสนธิ สัญญา กับไทย อีกครั้งหนึ่ง โดย อังกฤษ ให้สัญญาว่า อังกฤษ จะไม่เข้าไป แทรกแซง กิจการ ของรัฐตรังกานู และ รัฐกลันตัน และ ยอมรับว่า ไทย มีอำนาจ สมบูรณ์ ในรัฐไทรบุรี อังกฤษ ขอสัญญาว่า จะไม่ทำการ รุกราน ต่อรัฐไทรบุรี อีกต่อไป และฝ่ายไทย ยอมรับว่า เกาะปีนัง และ มณฑล เวลเลสเลย์ ที่อังกฤษ ขอเช่า ไปจาก พระยา ไทรบุรี เป็นของ อังกฤษ และไทย จะไม่เก็บ ภาษีสินค้า อาหาร ที่เกาะ ปีนัง และ มณฑล เวลเลสเลย์ ต้องการ จากไทรบุรี
ผลของการ ทำสัญญา เบอร์นี ครั้งนี้ ทำให้ พ่อค้า และ ข้าราชการ อังกฤษ ในมลายู ไม่พอใจ นายเฮนรี เบอร์นี เป็นอันมาก หาว่า เบอร์นี กระทำการ อ่อนข้อ ให้กับไทย ทำให้ไทย คงมีอำนาจ อยู่ในดินแดน มลายู ตอนเหนือ ซึ่งพวกตน ไม่สามารถ ทำการ ค้าขาย กับรัฐ เหล่านั้น ได้สะดวก
ทางด้าน รัฐเปรัค ฟุลเลอตัน ได้ส่ง ร้อยเอก โลว์ นำทหาร ซีปอย และ เรือรบ จำนวนหนึ่ง ไปยัง เมืองเปรัค เพื่อทำการ ยุยง สุลต่าน เปรัค ให้ทำ สัญญา กับอังกฤษ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๓๖๙ เป็นใจความว่า "เพื่อเป็นการ ตอบแทน ที่อังกฤษ จะเข้า ช่วยเหลือ ต่อต้าน ผู้ใด ก็ตาม ที่จะ คุกคาม เอกราช ของรัฐ สุลต่าน จะต้อง ไม่ติดต่อ ทางการเมือง กับไทย นครศรี ธรรมราช, สลังงอร์ หรือ รัฐมลายู อื่นๆ และจะต้อง เลิกส่ง ต้นไม้ เงินทอง หรือ บรรณาการใด ไปให้ไทย" เป็นเหตุ ให้สุลต่าน เปรัค หมดความ เกรงกลัวไทย รีบทำการ ปลดข้าราชการ ในราชสำนัก ที่เป็นฝ่าย จงรักภักดี ต่อไทย ตามคำแนะนำ ของฟุลเลอตัน และ ให้ทางไทย ถอนกำลังทหาร ออกไป จากรัฐเปรัค ตั้งแต่นั้นมา อิทธิพลไทย ที่เคยมี ต่อรัฐเปรัค ก็สิ้นสุดลง
ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๓๘๕ อังกฤษ ก็พยายาม สนับสนุน ให้เจ้าพระยา ไทรบุรี (ตนกูปะแงรัน) ได้กลับเข้ามา เป็นผู้ว่า ราชการ เมืองไทรบุรี อีกครั้ง ซึ่งทางฝ่ายไทย เห็นว่า เจ้าพระยา ไทรบุรี ชราภาพ มากแล้ว คงไม่คิดอ่าน ที่จะ กระทำการ กระด้าง กระเดื่อง อีกต่อไป อีกทั้ง เมืองไทรบุรี ขณะนั้น ข้าราชการ แตกความ สามัคคี แยกกันห ลายก๊ก หลายฝ่าย ทำให้ การบริหาร บ้านเมือง ไม่มี ประสิทธิภาพ เท่าที่ควร เจ้าพระยา ไทรบุรี เป็นผู้ใหญ่ เป็นที่ เคารพ ยำเกรง ของบุคคล เหล่านั้น คงจะ เข้ามา ไกล่เกลี่ย ให้ผู้คน เกิดความ สมัครสมาน กลมเกลียว กันได้
ปี พ.ศ.๒๓๙๘ อังกฤษ ส่ง เซอร์จอห์น เบาริง เข้ามา ขอทำ สัญญา กับไทยอีก เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๓๙๘ ผลของ สนธิ สัญญา ฉบับนี้ ทำให้ไทย ต้องสูญเสีย ผลประโยชน์ ทางการค้า และ เอกราช ทางการศาล ไปอย่าง น่าเสียดายยิ่ง คือ
ด้านการค้า จำกัด การเรียกเก็บ ภาษี ขาเข้า จากอังกฤษ ได้ใน อัตรา ร้อยละสาม และ ขาออก ได้ร้อยละหนึ่ง อีกทั้ง ยอมให้ อังกฤษ นำฝิ่น เข้ามาขาย ในเมืองไทย ได้ด้วย
ด้านเอกราช ทางการศาล ไทย ต้องอนุญาต ให้ชาว ต่างประเทศ และคน ในบังคับ ของชาตินั้นๆ เข้ามามี สิทธิภาพ นอกเหนือ อาณาเขตไทย ได้ ไทยจึงต้อง ประสพ ปัญหา ยุ่งยาก ที่ไม่สามารถ จะตัดสิน กรณี พิพาท ระหว่าง คนไทย กับคน ต่างชาติ โดยใช้ กฎหมายไทย ได้
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๐๕ อังกฤษ กล่าวหาว่า ไทย สนับสนุน พระยา ตรังกานู และ สุลต่าน มะหะหมัด ทำการ โจมตี เมืองปาหัง ทำให้ กิจการค้า ของอังกฤษ ในเมือง ปาหัง ได้รับ ความเสียหาย นายเคเวนนาจ์ ผู้สำเร็จ ราชการ ประจำ สิงคโปร์ จึงสั่ง ให้นาย แมคเฟอร์สัน นำเรือรบ มาระดมยิง เมืองตรังกานู เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๐๕ เป็นเวลา ๑ สัปดาห์
รัฐบาลไทย ได้มี หนังสือ ประท้วง ไปยัง ลอร์ดรัชเวลล์ รัฐมนตรี กระทรวง ต่างประเทศ อังกฤษ ที่กรุงลอนดอน โดยอ้าง สิทธิ เหนือรัฐ กลันตัน และ รัฐตรังกานู ตามสนธิ สัญญา เบอร์นี ตามความ ในมาตรา ๑๒ ความว่า
"เมืองไทย ไม่ไป ขัดขวาง ทางการ ค้าขาย ณ เมืองตรังกานู กลันตัน ให้ลูกค้า พวกอังกฤษ ได้ไปมา ค้าขาย โดยสะดวก เหมือนแต่ก่อน อังกฤษ ไม่ไป เบียดเบียน รบกวน เมืองตรังกานู กลันตัน ด้วยการ สิ่งใด" เป็นเหตุให้ รัฐบาลอังกฤษ ต้องเรียกตัว นายเคเวนนาจ์ ผู้สำเร็จ ราชการ ประจำ สิงคโปร์ กลับ และส่ง ผู้สำเร็จ ราชการ คนใหม่ มาแทน ทำให้ เหตุการณ์ ในเมือง ตรังกานู ยุติลง
ใน รัชสมัย พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว อังกฤษ ก็ยังคง พยายาม ส่งคน เข้ามาคอย ยุแหย่ เจ้าเมือง ในบริเวณ หัวเมืองทั้ง ๗ เพื่อหวัง จะลิดรอน อำนาจ ของไทย ในแหลม มลายู ให้หมดไป เป็นเหตุให้ กระทบกระเทือน ต่อการ ปฏิรูป ระบอบ การบริหาร ราชการ แผ่นดิน ของไทย ซึ่ง พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ กำลัง ดำเนินการ อยู่ จวนเจียน จะล้มเหลว พระองค์ จึงตัดสิน พระทัย ถอดถอน ตนกู อับดุล กาเดร์ พระยา ตานี ออกจาก ตำแหน่ง ผู้ว่า ราชการ เมืองปัตตานี ซึ่งขัดขืน พระบรมราชโองการ ไม่ยอม ให้ความ ร่วมมือ ในการ จัดการ ปกครองเมือง ปัตตานี ในรูปแบบ มณฑล เทศาภิบาล ที่ทรง นำมาใช้ กับเมืองทั้ง ๗
เพื่อ ผ่อนคลาย นโยบาย รุกราน ทางด้าน การเมือง ของอังกฤษ และ ให้ได้มา ซึ่งเอกราช ทางการศาล ที่ไทย ต้องเสียเปรียบ แก่อังกฤษ จากสัญญา ที่ไทย และ อังกฤษ ทำไว้ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๘ ไทย จำต้อง เอารัฐ กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และ เปอร์ลิส เข้าทำการ แลกเปลี่ยน (ตามคำ แนะนำ ของ นายเอตเวิด สโตรเบล ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็น ที่ปรึกษา ราชการ แผ่นดิน) เพื่อให้ รัฐบาล อังกฤษ ยอมให้คน ในบังคับ ของตน ที่ขึ้นทะเบียน เป็นคน ในบังคับ อังกฤษ ไว้ก่อน ทำสนธิสัญญา ฉบับนี้ มาขึ้น ที่ศาล ต่างประเทศ จนกว่า ทางฝ่ายไทย จะได้ ประกาศใช้ ประมวล กฎหมาย ครบถ้วน แล้ว จึงให้ มาขึ้น ศาลไทย ธรรมดา สนธิสัญญา ฉบับนี้ ได้กระทำกัน ในปี พ.ศ.๒๔๕๒
การปกครองเมืองปัตตานี :
ปัตตานี เป็นส่วนหนึ่ง ของราชอาณาจักรไทย มาตั้งแต่ กรุงสุโขทัย ในรูป ประเทศราช โดยทาง ราชธานี มอบหมาย ให้เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช คอยควบคุม ดูแล นโยบาย การเมือง อยู่อย่างหลวมๆ เพื่อมิให้ เจ้าผู้ครองนคร เอาใจ ออกห่าง เอนเอียง ไปข้าง ประเทศหนึ่ง ประเทศใด อันจะนำภัย มาสู่ ความมั่นคง ของ ราชอาณาจักร ดังจะเห็น ได้จาก คำกล่าว ของ โทเมปีเรส์ ชาวโปรตุเกส ว่า "ผู้เป็นใหญ่ (ในการ บังคับ บัญชา ราชอาณาจักร) รองลงมา (จาก พระเจ้า แผ่นดิน) คืออุปราช แห่งเมือง นคร เรียกกัน ว่า "พ่ออยู่หัว" (Poyobya) เขาเป็น ผู้ว่า ราชการ จากปาหัง ถึง อยุธยา"
หน้าที่ ของประเทศราช ที่มีต่อ ราชธานี ก็คือ การช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ในการ ทำสงคราม กับ อริราช ศัตรู ที่มา รุกราน และ ส่ง เครื่องราช บรรณาการ ดอกไม้ ทองเงิน ถวาย แก่ พระมหากษัตริย์ เป็นการ ถวาย ความจงรัก ภักดี ๓ ปีต่อครั้ง ส่วน อำนาจ การปกครอง ภายในเมือง นั้นๆ เจ้าผู้ครอง นคร มีอิสระ ที่จะ ดำเนินการ ใดๆ ได้ ภายใต้ ตัวบท กฎหมาย และ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของแต่ละ ท้องถิ่น แต่ ไม่มีสิทธิ อำนาจ ในการ ทำ สนธิ สัญญาใดๆ กับต่างประเทศ ก่อนจะได้รับ ความเห็นชอบ จากราชธานี
สมัย กรุงรัตน โกสินทร์ ปี พุทธ ศักราช ๒๓๕๑ สมเด็จ พระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกฯ มอบหมาย ให้เจ้าเมือง สงขลา เป็นผู้ ควบคุม ดูแล เมืองปัตตานี แทนเจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช
(ปี พ.ศ.๒๓๕๖ สมัย ร.๒ พระยา กลันตัน ทะเลาะ กับพระยา ตรังกานู พระยา กลันตัน ขอไป ขึ้นกับ เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช) (ปี พ.ศ.๒๔๕๒ รัฐบาลไทย ยกรัฐกลันตัน - ตรังกานู - ไทรบุรี ให้แก่ อังกฤษ ตามสนธิ สัญญา ปี พ.ศ.๒๔๕๑)
ด้วยลักษณะ รูปแบบ การปกครอง ที่หละหลวม และ การ คมนาคม ที่ห่างไกล จากศูนย์กลาง การปกครอง จึงยาก แก่การ ควบคุม อีกทั้ง ผู้คน ก็มีความ แตกต่างกัน ในทาง วัฒนธรรม ด้านภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี เมื่อใด สถานการณ์ เปิดโอกาส ให้ บรรดา ประเทศราช เหล่านี้ ก็พากัน แยกตัว ออกเป็น อิสระ หรือไม่ ก็หันเห ไปยอมอยู่ ในความปกครอง ของผู้ที่ เข้มแข็งกว่า ดังเช่น กรณี ที่พระเจ้า ปราสาททอง ทรงแย่ง ราชสมบัติ จากพระเจ้า อาทิตยวงศ์ เมืองนครศรี ธรรมราช สงขลา และ ปัตตานี ก็พากัน แข็งเมือง
พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเล็งเห็น ว่า หากปล่อย ให้มี การปกครอง (แบบกินเมือง) โดยเจ้าเมือง มีอิสระ อย่างเดิม จะเป็นเหตุ ให้พวกอังกฤษ หยิบฉวย โอกาส นำไป เป็นข้ออ้าง ถึงความ ไร้สมรรถภาพ ทางด้าน การปกครอง ของไทย ทั้งนี้ เพราะมี ชาวเมือง รามันห์ เมืองยะหริ่ง เมืองระแงะ ได้ร้องเรียน กล่าวโทษ เจ้าเมืองว่า ใช้อำนาจ โดยไม่ชอบธรรม กดขี่ ข่มเหง ราษฎร อยู่เสมอ จึงทรงคิด แผนปฏิรูป การปกครอง นำมาใช้ ปกครอง บริเวณ ๗ หัวเมือง ขึ้นใหม่ ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ (ดูแผนภูมิท้ายบทความนี้) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลดียิ่งขึ้น จึงเป็นเหตุให้เจ้าเมืองต่างๆ เกิดความไม่พอใจ ข้าราชการอังกฤษในสิงคโปร์ จึงส่งคนเข้ามายุแหย่เจ้าเมืองปัตตานี ตนกูอับดุลกาเดร์ ทำให้ทำการขัดขืนพระบรมราชโองการ ไม่ยอมให้เจ้าพนักงานของรัฐบาลเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตามกฎระเบียบการปกครองแผนใหม่ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลดตนกูอับดุลกาเดร์ออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองปัตตานี และนำตัวไปกักกันบริเวณไว้ที่จังหวัดพิษณุโลก ในปี พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นเวลา ๒ ปี ครั้งถึงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๔๗ ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ตนกูอับดุลกลับมาอยู่เมืองปัตตานีได้ หลังจากนั้นตนกูอับดุลกาเดร์ก็อพยพครอบครัวไปพำนักอยู่ในรัฐกลันตัน ซึ่งสุลต่านแห่งรัฐนี้เป็นญาติกับตนกูอับดุลกาเดร์จนกระทั่งถึงแก่กรรมลงในปี พ.ศ.๒๔๗๖
ในปลายรัชสมัยแผ่นดินสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีเหตุไม่สงบเกิดขึ้นในท้องที่ต่างๆ ซึ่งมักจะมีผู้กล่าวพาดพิงไปว่า เบื้องหลังของเหตุการณ์ เนื่องมาจากการสนับสนุนของบรรดาเจ้าเมืองเก่าที่เสียผลประโยชน์ ซึ่งข้อเท็จจริงน่าจะเป็นผลมาจากความบกพร่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องที่อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ดังที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงตรัสไว้ว่า "เราไม่สันทัดทางพูดและทำ ในการที่จะปกครองชาติอื่น มันจะตกไปในที่กลัวไม่ควรกลัว กล้าไม่ควรกล้า ทำในทางที่ไม่ควรจะทำ ใจดีในที่ไม่ควรจะใจดี ถ้าจะใจร้ายขึ้นมาก็ใช้ถ้อยคำไม่พอที่จะเกลื่อนใจร้ายให้ปรากฏว่า เพราะจะรักษาความสุขและประโยชน์ของคนทั้งปวง ไม่รู้จักใช้อำนาจในที่ควรจะใช้ การที่จะทำได้โดยตรงๆ ก็เกรงอกเกรงใจอะไรไปต่างๆ โดยไม่รู้จักที่จะพูดและหมิ่นอำนาจตัวเอง เมื่อได้เห็นการเป็นเช่นนี้นึกวิตกด้วยการที่จะปกครองเมืองมลายูเป็นอันมาก ขอให้เธอกรมดำรงตริตรองดูให้จงดี" (ม.๓/๔๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงกรมหลวงดำรงราชานุภาพ ๖๐/๒๗๗ ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๔๗)
หลังจากนั้น ทางรัฐบาลก็ได้มีการแก้ไขปรับปรุงการบริหารราชการใหม่อีกครั้ง (ดูแผนภูมิท้ายบทนี้) โดยจัดตั้ง มณฑล ปัตตานี ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๔๙ และ กำหนด นโยบาย การปกครอง บริเวณ หัวเมืองทั้ง ๗ ให้รัดกุม ยิ่งขึ้น คือ
๑.ออกระเบียบ วิธีการ ปฏิบัติการ ให้สอดคล้อง กับขนบ ธรรมเนียม ประเพณี ท้องถิ่น และ ศาสนา ที่แตกต่างกัน เพื่อมิให้ เกิดการ กระทบ กระเทือน จิตใจ ผู้คน เช่น คดี ที่เกี่ยวกับ ทรัพย์มรดก ก็ให้ถือ ปฏิบัติ ตามข้อบัญญัติ ของศาสนา อิสลาม
๒.คัดเลือก บุคลากร ที่จะส่ง เข้ามา เป็นผู้บริหาร กิจการ จากบุคคล ที่มีความรู้ ความเข้าใจ ในวัฒนธรรม ท้องถิ่น เป็นผู้มี จิตใจ บริสุทธิ์ มีคุณธรรม สามารถ เข้ากับ ประชาชนได้
๓.เร่งรัด พัฒนา เศรษฐกิจ การศึกษา การคมนาคม การสาธารณสุข ให้รุดหน้า ยิ่งกว่า หัวเมือง มลายู ที่อังกฤษ ปกครอง เพื่อผล ทางสังคม จิตวิทยา
๔.เมืองใด ที่ผู้ว่า ราชการเมือง ยังมีชีวิตอยู่ ก็คงไว้ สภาพ เป็นเมือง และ เพิ่มเงิน ค่ายังชีพ ให้แก่ ผู้ว่าราชการเมือง สูงขึ้น เมื่อ ผู้ว่า ราชเมือง ถึงแก่กรรมลง ก็รวม หัวเมืองต่างๆ เข้าเป็น จังหวัด ในปี พ.ศ.๒๔๕๙ รวม ๔ จังหวัด คือ ปัตตานี สายบุรี ยะลา และนราธิวาส จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๗๔ จึงได้ ยุบเลิก มณฑล ปัตตานี และลดฐานะ จังหวัดสายบุรี ลงเป็น อำเภอหนึ่ง ขึ้นกับ จังหวัดปัตตานี และ ที่สำคัญ ที่สุด ก็คือ รัฐบาล สามารถ แก้ปัญหา การคุกคาม ของอังกฤษ ได้สำเร็จ ด้วยการ เสียสละ ดินแดน บางส่วน ของประเทศ คือ รัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และ รัฐเปอร์ลิส ให้แก่ อังกฤษ ไปในเดือน มีนาคม ร.ศ.๑๒๗ (พ.ศ.๒๔๕๑) เพื่ออังกฤษ จะได้ ยุติ การเข้ามา แทรกแซง งานปฏิรูป การปกครอง บริเวณ หัวเมือง ทั้ง ๗ อีกต่อไป
ต่อมา ในรัชสมัย พระบาท สมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดกเล้าฯ ให้สมเด็จ เจ้าฟ้า ยุคลธร ฑิฆัมพร กรมหลวง ลพบุรี ราเมศวร์ เสด็จ ออกมา ดำรง ตำแหน่ง อุปราช ผู้สำเร็จ ราชการ ประจำหัวเมือง ปักษ์ใต้ ควบคุม ดูแล หัวเมือง ต่างพระเนตร พระกรรณ
ซึ่งผล ของการ ปฏิรูป การปกครอง และ ดำเนิน ตามนโยบาย ที่กล่าวมา แล้วนี้ สามารถ ลดหย่อน ผ่อนคลาย เหตุการณ์ อันไม่สงบ ทางด้านการเมือง ลงได้ จนกระทั่ง เกิดสงครามโลก ครั้งที่สอง (หรือสงคราม มหาเอเซีย บูรพา) อังกฤษ ซึ่งเป็น คู่สงคราม ของไทย ได้ให้ ความ สนับสนุน ตนกู ฮัมหมัดยิดดิน บุตรชาย ของตนกู อับดุล กาเดร์ อดีต เจ้าเมือง ปัตตานี ที่ถูก ปลดออก จากราชการ เพื่อใช้ เป็นเครื่องมือ ในการ แบ่งแยก ดินแดน ๓ จังหวัด ภาคใต้ ออกเป็น รัฐปัตตานี
หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เขียนเล่า ถึงเรื่องนี้ ไว้ใน บทความ "ข้อสังเกต เกี่ยวกับ เอกภาพ ของชาติ กับ ประชาธิปไตย" เกี่ยวกับ ตนกู มูฮัมหมัด ยิดดิน ว่า "เสรีไทย คนหนึ่ง เล่าให้ ข้าพเจ้า ฟังว่า ที่กรุงเดลฮี มีชาว อังกฤษ กลุ่มหนึ่ง จัดเลี้ยง เพื่อเป็นเกียรติ แก่ตนกู ผู้นี้ และดื่ม ให้พร (ตนกู) ว่า Long Live The King Patani" ประกอบกับ พรรคการเมือง บางพรรค ในมาเลเซีย คอยให้ความ สนับสนุน ทำให้เกิด ขบวนการ เชื้อชาตินิยม ขึ้น และได้รับ การสนองตอบ จากมุสลิม ที่มี อุดมการณ์ ทางการเมือง เช่น ตนกู ยาลา นาแซ บุตรของ พระยา สุริยะ สุนทรฯ อดีต เจ้าเมือง สายบุรี เป็นต้น
หลังจาก ตนกู มูฮัมหมัด ยิดดิน ถึงแก่กรรมลง ก็เกิด ขบวนการ ต่างๆ อาทิ ขบวนการ โจรก่อการร้าย (ข.จ.ก.) และ โจรคอมมิวนิสต์ มลายา (จคม.) และ ผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ (ผกค.) และอื่นๆ ติดตามมา กลุ่ม ที่รู้จักกัน แพร่หลาย ได้แก่ กลุ่มแนวร่วม ปลดปล่อย แห่งชาติ ปัตตานี (National Liberation Front of Pattani หรือ N.L.F.P.) องค์การ แนวร่วม ปลดปล่อย ปัตตานี (Patani United Liberation Organization หรือ P.U.L.O.) องค์การ แห่งชาติ กู้เอกราช สาธารณรัฐ ปัตตานี (Gerakan National Pemberasan Republic Patani หรือ G.N.R.P.) เป็นต้น ขบวนการ เหล่านี้ ได้รับความ สนับสนุน จากองค์การเมือง ในประเทศ มุสลิม บางประเทศ เพื่อทำการ ก่อกวน ความไม่สงบขึ้น ในดินแดน ๓ จังหวัดภาคใต้ เช่น การจับ ผู้คน ไปเรียก ค่าไถ่ เรียกค่า คุ้มครอง สวนยาง และ ทรัพย์สิน เป็นการ ทำลายขวัญ และ จิตใจ ประชาชน ผู้ประกอบ สัมมาชีพ และ บ่อนทำลาย รากฐาน เศรษฐกิจ ของ ๓ จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ มิให้ เจริญ เติบโต เท่าที่ควร จนกระทั่ง ถึงปี พ.ศ.๒๕๑๘ ก็ได้เกิด เหตุการณ์ ประท้วง ครั้งยิ่งใหญ่ ขึ้นเป็น ประวัติการณ์ อันเนื่อง มาจาก กลุ่มบุคคล ผู้ใช้ นามว่า "ศูนย์พิทักษ์ ประชาชน" ได้ทำการ ปลุกระดม ชาวไทย มุสลิมใน ๓ จังหวัด ชายแดน กล่าวหาว่า ทหาร นาวิก โยธิน ฆ่า และ ทำร้าย นายสะมาะแอ ปาแย, นายอารง บราเซะ, นายสะมาแอ อีซอ, นายอุเซ็ง, นายบือราเฮง และเด็กชายลือแม บาราเซะ
การประท้วง เริ่มขึ้น เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๘ ณ บริเวณ หน้าศาลากลาง จังหวัดปัตตานี ได้มีการ อภิปราย โจมตี การปฏิบัติการ ของเจ้าหน้าที่ และรัฐบาล โดยผู้แทน ของ "ศูนย์พิทักษ์ ประชาชน" เป็นไป ในลักษณะ รุนแรง จนกระทั่ง ถึงคืน วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. เศษ ก็มี ผู้ปา ลูกระเบิด เข้าไป ในท่ามกลาง ฝูงชน ที่มา ชุมนุม กันอยู่ เป็นเหตุให้ มีผู้ เสียชีวิต ทันที ๑๒ คน และบาดเจ็บ อีกเป็น จำนวนมาก หลังจากนั้น ฝูงชน ที่เหลือ อยู่ ก็พากัน ไปตั้ง ชุมนุม ประท้วงต่อ ที่ลาน มัสยิดกลาง จังหวัด ปัตตานี เป็นการ ประท้วง ที่ใช้เวลา ยืดยาว ติดต่อกัน ถึงหนึ่งเดือน จนกระทั่ง ถึงวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๙ นายก รัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้มอบ อำนาจ ให้นายปรีดา พัฒนถาบุตร รัฐมนตรี ว่าการ สำนัก นายก รัฐมนตรี เป็นผู้แทน ลงมา เจรจา กับผู้แทน ของ "ศูนย์พิทักษ์ ประชาชน" โดยรัฐบาล ยอมรับ เงื่อนไข ของศูนย์ เพื่อดำเนินการ ดังต่อไปนี้
๑.รัฐฯ จะดำเนินการ จับกุม และ ดำเนิน คดี กับผู้ต้องหา ที่ฆ่า บุคคล ทั้ง ๕ และ ทำร้าย เด็กชาย ลือแม บาราเซะ โดยด่วน
๒.รัฐฯ จะจ่ายเงิน ค่าชดใช้ ค่าทำศพ แก่ผู้ตาย และ ผู้บาดเจ็บ เป็นเงิน คนละ ๕ หมื่นบาท แก่ญาติมิตร ของผู้ตาย
๓.จะสั่ง ให้เคลื่อนย้าย หน่วยนาวิก โยธิน ที่ตั้งอยู่ วัดเชิงเขา ไปตั้งอยู่ วัดสักขี อำเภอสายบุรี และจะ สับเปลี่ยน กำลัง ของหน่วย นาวิก โยธิน กลับไป ยังต้น สังกัด เดิม
๔.ข้อเสนอ เกี่ยวกับ นโยบาย ที่จะนำ มาใช้ กับ สี่จังหวัด ชายแดน รัฐบาล จะรับไป พิจารณา ดำเนินการ ต่อไป และ จะควบคุม กำชับ เจ้าหน้าที่ ให้ปฏิบัติ ตามกฎหมาย โดยเคร่งครัด
๕.รัฐบาล จะดำเนินการ ตามกฎหมาย กับคดี ปาระเบิด หน้าศาลากลาง จังหวัด ปัตตานี ในคืน วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ และ จะช่วยเหลือ สงเคราะห์ แก่ญาติ ของผู้ตาย และ บาดเจ็บ ที่เกิด จากการ ระเบิด ทุกคน
๖.ศูนย์ พิทักษ์ ประชาชน และ กลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการ ประชุม ประท้วง จะต้อง ดำเนินการ ให้ผู้ เข้าร่วม ชุมนุม สลายตัว โดยเร็ว ที่สุด
๗.รัฐบาล ไม่เอาผิด ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา ที่หยุด ภารกิจ และ การศึกษา เพื่อมา ร่วมชุมนุม
หลังจาก เหตุการณ์ ประท้วง ผ่านพ้น ไปแล้ว รัฐบาล ชุดต่างๆ ก็ได้ ดำเนินการ หาแนวทาง บริหาร ๕ จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๒๔ รัฐบาล โดยการนำ ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงมี มติ เห็นชอบ ตามข้อเสนอ ของสภา ความมั่นคง แห่งชาติ ให้ตั้ง ศูนย์อำนวยการ บริหาร จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ขึ้น ตามคำสั่ง สำนัก นายก รัฐมนตรี ที่ ๘/๒๕๒๔ ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๒๔
ลักษณะ พิเศษ ของศูนย์ อำนวยการ บริหาร จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ คือ ให้มี เอกภาพ ในการ บริหาร สั่งการ ทำให้ มีความ คล่องตัว ในการ ปฏิบัติงาน ที่จะ ดำเนินการ แก้ไข ปัญหา สำคัญ ๓ ประการ ของจังหวัด ชายแดน ภาคใต้ ได้แก่
๑.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
๒.ปัญหาด้านสังคมจิตวิทยา
๓.ปัญหาการก่อการร้าย
และกำหนด สายงาน การบริหาร แผ่นดิน ขึ้นตรง กับนายก รัฐมนตรี โดยผ่าน การกลั่นกรอง ของแม่ทัพ ภาคที่ ๔ และ สภา ความมั่นคง แห่งชาติ ซึ่งจะทำ ให้ศูนย์ฯ สามารถ เสนอปัญหา ข้อแก้ไข วิธีการ ดำเนินการ แผนงาน และ โครงการ ไปยัง นายก รัฐมนตรี เพื่อ ดำเนินการ แก้ไข สภาพ ปัญหา ต่างๆ ได้สะดวก รวดเร็ว ยิ่งขึ้น กว่าที่เคย ปฏิบัติ กันมา แต่เดิม
เป้าหมาย ภารกิจ และอำนาจหน้าที่ของศูนย์ฯ มีดังนี้
ก.เป้าหมาย
๑.ให้ประชาชน ในจังหวัด ชายแดน ภาคใต้ นิยมพูด และใช้ ภาษาไทย โดยถือเอา ยุวชน รุ่นใหม่ เป็นเป้าหมาย สำคัญ
๒.ให้ประชาชน ในจังหวัด ชายแดน ภาคใต้ มีความ เชื่อมั่น ศรัทธา ในการปกครอง และ สถาบันหลัก ของชาติ มีทัศนคติ ที่ถูกต้อง ในความ เป็นคนไทย ไม่ใช่ คนกลุ่มน้อย และ ไม่นำ เอาความ แตกต่าง ทางศาสนา มาเป็น เครื่องแบ่งแยก
๓.ให้สภาวะ ความเป็นอยู่ และ รายได้ ของประชากร สูงขึ้น หรือ แตกต่างกัน น้อยที่สุด
๔.ให้ประชาชน ในจังหวัด ชายแดน ภาคใต้ ปลอดภัย จากภัย คุกคาม ของโจร ผู้ร้าย และ การดำเนินการ ทั้งปวง ที่มี วัตถุ ประสงค์ ในทาง ก่อความ ไม่สงบ บ่อนทำลาย หรือล้มล้าง การปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตย ซึ่งมี พระมหากษัตริย์ เป็นประมุข หรือการ เปลี่ยนแปลง บูรณภาพ แห่งดินแดน ของชาติ
๕.ให้กลุ่ม ประเทศ มุสลิม มีความเข้าใจ สถานการณ์ ที่แท้จริง เกี่ยวกับ การปกครอง และ ความเป็นอยู่ ของคนไทย มุสลิม และ เข้าใจ ในนโยบาย ของรัฐบาล ที่ได้ให้ ความเป็นธรรม แก่คนไทย มุสลิม เพื่อให้ กลุ่มประเทศ มุสลิม ระงับ การช่วยเหลือ จขก. ทางลับ หรือ ดำเนินการ ใดๆ อันจะเป็น ผลร้าย ต่อไป
๖.ให้การ บริหารงาน การแก้ ปัญหา จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น
ข.ภารกิจที่สำคัญของศูนย์ฯ
๑.ประสานงาน กับ หน่วยงาน ต่างๆ ในการ แก้ไข ปัญหา จังหวัด ชายแดน ภาคใต้
๒.ประสานงาน การป้องกัน และ ปราบปราม การก่อ การร้าย
๓.ปรับปรุง ประสิทธิภาพ ข้าราชการ
๔.พัฒนา เศรษฐกิจ และ สังคม ในจังหวัด ชายแดน ภาคใต้
ค.อำนาจหน้าที่ของศูนย์ฯ
๑.ควบคุม กำกับ ดูแล และ ประสานการ ปฏิบัติงาน ของส่วนราชการ ต่างๆ ในจังหวัด ชายแดน ภาคใต้
๒.บังคับ บัญชา ข้าราชการ และ รับผิดชอบ ดำเนินงาน ของศูนย์
๓.เสนอแนะ ต่อแม่ทัพ ภาคที่ ๔ เกี่ยวกับ การโยกย้าย ข้าราชการ ที่ปฏิบัติ หน้าที่ ไม่เหมาะสม ออกจาก พื้นที่ จังหวัด ชายแดน ภาคใต้
๔.พัฒนา ประสิทธิภาพ ข้าราชการ ทุกกระทรวง ทบวง กรม ในพื้นที่
๕.รวบรวม กลั่นกรอง การจัดทำ แผน และ โครงการต่างๆ ตลอดจน การประสานงาน ติดตาม และ ประเมินผล
๖.แต่งตั้ง ที่ปรึกษา ได้ตามความ เหมาะสม โดยให้มี ผู้นำ ท้องถิ่น ร่วมอยู่ด้วย
๗.ปฏิบัติงาน อื่นๆ ตามที่ แม่ทัพ ภาคที่ ๔ มอบหมาย
จากการ ดำเนินการ บริหาร ราชการ จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ ซึ่งศูนย์ฯ ทำหน้าที่ ควบคุม กำกับดูแล และ ประสาน การปฏิบัติงาน ของ ส่วน ราชการ ต่างๆ ในจังหวัด ชายแดน ภาคใต้ ล่วงมา ถึงปี พ.ศ.๒๕๒๗ พลโท วันชัย จิตต์จำนง แม่ทัพภาคที่ ๔ ผู้มี หน้าที่ รับผิดชอบ ต่อความ มั่นคง และ ความ สงบ เรียบร้อย ของพื้นที่ จังหวัด ภาคใต้ ได้ประกาศ ต่อหน้า พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการ ทหาร สูงสุด ในพิธี รับขวัญ ผู้ร่วม พัฒนา ชาติไทย เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๗ ณ สนามหน้า ศาลากลาง จังหวัด ปัตตานีว่า "นับแต่ บัดนี้ เป็นต้นไป จังหวัด ปัตตานี เป็นพื้นที่ สันติสุข ถาวร แล้ว และ ข้าพเจ้า ขอยืนยัน ว่า จะร่วมมือ ร่วมใจ กับพี่น้อง ประชาชน และ เจ้าหน้าที่ ของรัฐบาล ทุกฝ่าย ธำรงไว้ ซึ่งความ สงบเรียบร้อย และ พัฒนา ถาวร สืบไป"
คำกล่าว ของพลโทวันชัย จิตต์จำนง แสดงว่า การบริหาร ราชการ ๕ จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ โดยศูนย์ อำนายการฯ (ศอ.บต.) ได้ประสบ ความสำเร็จ ในการ แก้ไข ปัญหา สำคัญ บางประการ ได้ผล รวดเร็ว เกินความ คาดหมาย
ภารกิจ ที่สำคัญ ของศูนย์ฯ เกี่ยวกับ การปรับปรุง ประสิทธิภาพ ข้าราชการ และ การคัดเลือก ข้าราชการ เข้าไป ประจำอยู่ ใน ๕ จังหวัด ชายแดน นับเป็น ความคิด ที่ดี และ สามารถ แก้ไข สถานการณ์ ได้ เพราะ ข้าราชการ เป็นตัวจักรกล สำคัญ ในการ แก้ปัญหา แต่บางครั้ง ก็กลับ เป็นผู้สร้า งปัญหา ขึ้นมาเอง ความคิดนี้ มีมา ตั้งแต่ สมัย การปกครอง แบบสมบูรณาญา สิทธิราช ที่ศูนย์ฯ รื้อฟื้น ขึ้นมา ปฏิบัติ อีก นับเป็นการ ดียิ่ง แต่การ คัดเลือก ให้ได้ คนดีจริง นั้น มีความ ลำบากใจ อยู่ มิใช่น้อย ดังที่ พลเอก สิทธิ จิรโรจน์ อดีต รัฐมนตรี ว่าการ กระทรวง มหาดไทย กล่าวว่า
"ต้องมองถึง พฤติกรรม อื่น (ของข้าราชการผู้นั้น) นอกที่ทำงาน ด้วย เป็นต้นว่า เข้าบ่อน หรือเปล่า ร่วมรับ ผลประโยชน์ จากบ่อน หรือไม่ มีการ กินแร่ กินไม้ กินของเถื่อนต่างๆ หรือไม่ ใช้อำนาจ หน้าที่ แสวงหา ประโยชน์ หรือกดดัน พ่อค้า ข้าราชการ เพื่อผลประโยชน์ ตน ประโยชน์ พรรคหรือไม่ ถ้ากล้าทำ จึงจะได้ ประโยชน์ ถ้าปากว่า ตาขยิบ ก็คง จะไม่เกิดผล"
สรุปปัญหาอุปสรรคต่อการปกครองหัวเมืองประเทศราช
ประการแรก เนื่องจาก สภาพ ภูมิศาสตร์ การคมนาคม อยู่ห่างไกล จากศูนย์กลาง การปกครอง ยาก แก่การ ควบคุม ดูแล ได้ทั่วถึง
ประการที่สอง คือความ แตกต่างกัน ในทาง วัฒนธรรม ศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียม และ เชื้อชาติ
ประการที่สาม รูปแบบ การปกครอง ประเทศราช หรือแบบ "กินเมือง" เจ้าเมือง มีอำนาจมาก จึงเป็น ช่องทาง ให้ใช้ อำนาจ ไปในทาง ไม่เป็นธรรม แก่ราษฎร แม้แต่ เจ้าเมือง สงขลา ซึ่งได้รับ มอบอำนาจ ให้ดูแล ควบคุม เจ้าเมือง เหล่านั้น ก็ไม่สามารถ จะเข้าไป จัดการ กับ บรรดา เจ้าเมือง ได้โดย เด็ดขาด
ประการที่สี่ การเมือง ภายนอก ประเทศ ซึ่งมี อังกฤษ เป็นผู้ ดำเนินการ ลิดรอน อำนาจ ของไทย ให้หมดไป จากแหลม มลายู เพื่อขยาย อำนาจ ทางการเมือง และ เศรษฐกิจ ไว้แต่ ผู้เดียว บุคคล สำคัญ ในการ ดำเนินการ วางแผน ทำลาย อิทธิพล ทางการเมือง ไทย ก็คือ นายโรเบิร์ต ฟลูเลอร์ดัน ข้าหลวง ประจำ เกาะปีนัง เซอร์แฟรงค์ เสวตเทนนั่ม ข้าหลวง อังกฤษ และ ข้าราชการ ของรัฐบาล สเตรต เสตเติลเมนต์ ที่เข้ามา ยุยง สุลต่าน รัฐเปรัค ปัตตานี ให้สลัดตัว ออกไป จากอำนาจ การปกครอง ของไทย
ประการที่ห้า ข้าราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่มีหน้าที่ควบคุมบริเวณหัวเมืองทั้ง ๗ มีความ ขัดแย้ง เพื่อช่วงชิง อำนาจ และผลประโยชน์ กันเอง ดังปรากฏ หลักฐาน ในกองจดหมายเหตุ แห่งชาติ สมัย ร.๔ ม.๒๑๔/๙๘ ความว่า
"พระยา สงขลา ได้ฟ้อง พระยา สายบุรี อนุญาต ให้จีน จากสิงคโปร์ และ ปีนัง เข้ามา ปลูกมัน สำปะหลัง โดยไม่ได้รับ อนุญาต จากสงขลา ก่อน ส่วนพระยา สายบุรี ไม่ยอมรับ กลับฟ้องว่า เป็นเรื่อง พระองค์ เจ้าสายฯ ตกลงกับ พระวิเศษ วังสา ซึ่งเป็น ผู้ช่วย ราชการ พระยา สงขลาฯ พระยา สายบุรี และ พระองค์ เจ้าสายฯ จึงโกรธเคือง กันไปหมด ขณะเดียวกัน พระอนันต สมบัติ นอกจาก ขัดแย้ง กับพระองค์ เจ้าสายฯ ในเรื่อง ถอดพระยา ยะหริ่ง แล้ว ก็ไม่ถูก กับพระยา สงขลา พี่ชาย ด้วยเรื่อง ส่วนตัว อีกด้วยฯ"
ดังนั้น การจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการ บริหาร จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ ขึ้นเพื่อ ดำเนินการ แก้อุปสรรค ปัญหา ดังกล่าว จึงเป็น ความหวัง ขั้นสุดท้าย ของประชาชน ในภูมิภาคนี้ นั่นก็คือ ความอยู่ดี กินดี มีความ ปลอดภัย ในการ ประกอบ สัมมา อาชีวะ
(๑ นามและพระนามข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี
๑.พระยาศักดิ์เสนีย์ (พระยาเดชานุชิต {หนา บุนนาค}) ๒๔๔๙-๒๔๖๖
๒.หม่อมเจ้าสฤษดิ์เดช ชยางกูร ๒๔๖๖-๒๔๖๙
๓.พระยาอุดมพงษ์เพ็ญสวัสดิ์ (ม.ร.ว.ประยูร อิศรภักดี) ๒๔๖๙-๒๔๗๔
๒ ยุบเมืองระแงะเป็นจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.๒๔๕๘
๓ พ.ศ.๒๔๕๙ ยุบเมืองปัตตานี สายบุรี ยะลา นราธิวาส ลงเป็นจังหวัด
พ.ศ.๒๔๗๕ ยุบจังหวัดสายบุรีเป็นอำเภอสายบุรี ยุบมณฑลปัตตานีเป็นจังหวัด)
..........................................................................................................
นายยาเซร  มะเกะ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5/1c
โรงเรียนดรุณศาสน์วิทยา
วันที่ 25/2/2555